posttoday

การเข้าไปยุ่งกับดราม่า (เรื่องปวดหัว) คนอื่น

26 สิงหาคม 2560

คนที่มักเอาตัวเองไปอยู่ใน “ดราม่า” (เรื่องปวดหัว) ของคนอื่นคือ คนที่เวลาเห็นคนอื่นรู้สึกแย่ จะคิดไปเองทันทีว่า

โดย...ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ ภาพ : เอเอฟพี

คนที่มักเอาตัวเองไปอยู่ใน “ดราม่า” (เรื่องปวดหัว) ของคนอื่นคือ คนที่เวลาเห็นคนอื่นรู้สึกแย่ จะคิดไปเองทันทีว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อให้ทุกคนรอบข้างมีความสุข เห็นใครทุกข์ เหมือนเห็นเวที ว่าตัวเองต้องขึ้นไปทำบางอย่าง เพื่อให้ตัวเอง รู้สึกดีที่ปลดทุกข์คนอื่นได้ แต่ในเมื่อเราไม่ได้สร้าง “ดราม่า” นั้นขึ้นมา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราช่วยเขาได้จริง?

 คนประเภทหนึ่งที่มักอดเข้าไปยุ่งกับดราม่าคนอื่นไม่ได้ จะเป็นคนที่ชอบมีอิทธิพลกับคนรอบตัว ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนหรือเป็นคนที่เราดูแลใกล้ชิด บวกกับมีความเห็นอกเห็นใจเขาอยู่เป็นทุน เรามักจะอดเข้าไปช่วยเขาไม่ได้ เพราะบางทีเรื่องเขากลายเป็นเรื่องของเราไปด้วย คือไปอินกับเรื่องคนอื่นโดยไม่จำเป็น

 การช่วยคนอื่น จริงๆ แล้ว มันก็มีกฎของมันอยู่ เพราะเป้าหมายของการช่วยคน ต้องมีทิศทางที่ชัดเจน รวมถึงมีการประเมินมาอย่างดีว่า เราฟังความจากทุกฝ่าย ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง

 การช่วยคนอื่นต้องเริ่มจากความมั่นใจด้วยว่า เราไม่มีอคติ เราตัด “ดราม่า” ทิ้ง แล้วดูประเด็นจริงของปัญหา แต่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เราคิดดีแล้วว่า การเข้าไปยุ่ง มันช่วยทั้งสองฝ่ายได้จริง และไม่กลายเป็นว่าเราดึงปัญหาเข้าตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 จนท้ายสุด นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังถูกสองฝ่ายเข้าใจผิดอีกระลอกหนึ่ง

 มากไปกว่านั้น เรายังต้องดูด้วยว่า องค์ประกอบสำคัญของการเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย หรือยุ่งกับปัญหาชาวบ้าน เราเห็นความจริงต่างๆ เหล่านี้ด้วย กล่าวคือ

 1.คนนั้นพร้อมช่วยตัวเองด้วย (บนความจริง)

 2.เราต้องมั่นใจว่า เราเข้าใจเรื่องจากทุกมุม เพราะคนที่ชวนเราเข้าไปอยู่ในดราม่าเขา เขาย่อมสร้างเรื่องจากมุมที่เขาดูดี น่าสงสาร (แต่เราเห็นมุมเดียว) และในโลกความเป็นจริง น้อยคนยากที่จะบอกว่าตัวเองคือ มารร้าย หรือคนก่อเรื่อง

 3.ที่เขาชวนเรา เพราะเขามั่นใจว่า เราต้องอยู่ข้างเขา

 4.แต่ถ้าเกิดเราเห็นว่า เขาไม่ถูกหรือไม่ถูกทั้งหมด เราแน่ใจแค่ไหนว่า เขาใจกว้างพอให้เราเลือกไม่เข้าข้างใคร แต่มองความจริงจากทุกมุม

 และสุดท้าย เราก็มีอคติของเราด้วย เราพร้อมพอหรือไม่? ที่จะมองปัญหาเขาขาดและตัดอคติตัวเองออกได้

จริงๆ เราทุกคนมักหลีกหลบดราม่าคนรอบข้างลำบาก แต่เราอาจทำในจุดที่ช่วยลดความกดดันเขาลงด้วยการฟังเขาบ่น แต่การฟังใครบ่นบ่อยๆ และเป็นคนที่เราเห็นใจเขาเป็นทุน เราอาจจะเริ่มเชื่อหรือคล้อยตามอย่างอดไม่ได้ เพราะต้องใช้หัวใจฟัง แต่หัวใจที่เอียงไปทางหนึ่งแล้ว มันยังไม่ได้ฟังอะไรจากอีกฝ่ายหนึ่ง เราจะเริ่มเห็นตามคนที่เราสงสารได้ไม่ยาก กลายเป็นเกิดประเด็นใหม่ที่เราอาจเผลอสื่อสารผิดพลาด จนเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วม กลายเป็นเราเอาดราม่าของเราเข้าไปผสมปัญหาเก่าด้วย จนเรื่องอาจบานปลายหนักข้อกว่าเก่าก็เป็นได้

 สำคัญคือ คนที่เราเห็นว่า เขาสร้างดราม่าอยู่ประจำ และมักมีเรื่องกับคนรอบข้างบ่อยๆ ลักษณะแบบนี้จะทำให้เขามักสร้างปัญหาไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เพราะอาจหยุดตัวเองไม่ได้ เนื่องจากมองสิ่งแวดล้อมเป็นลบไปหมด จนกว่าเขาเองจะเกิดการเรียนรู้และหยุดวงจรสร้างดราม่าด้วยตัวเอง ซึ่งจริงๆ ต้องให้เขาตกผลึกเอง หรือมีคนนอกที่ไม่รู้จักคู่กรณีเลย ช่วยให้ข้อคิด

 เพราะคนที่พร้อมช่วยตัวเอง เวลาเขาต้องขอความช่วยเหลือจากเรา จะเป็นเรื่องที่เรารู้เลยว่า เราต้องช่วยเขาจริงๆ ไม่ต้อง “ดราม่า” จนเพลีย ช่วยกันเป็นเรื่องๆ ไป มีจุดเริ่ม มีจุดจบ มีการคิดมาก่อนแล้วว่า เราช่วยเขาได้จริงอย่างไรบ้าง?

 ไม่มีการ “ปั่น” หรือแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ ให้เราสงสารหรือเห็นใจเกิน

 ไม่นานมานี้ มีตัวอย่างของคนที่ผมรู้จักเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเริ่มจากรักฝ่ายหญิงแบบหัวปักหัวปำ เพราะผู้หญิงเก่ง มีเสน่ห์ และใช้ชีวิตเป็น ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองคือ คนธรรมดาๆ ที่โชคดีที่มีผู้หญิงมีดีกรีมารับรัก เขาจึงต้องตอบแทนเธอด้วยการเป็นคนคอยสนับสนุนความฝันของภรรยา และดูแลภรรยาให้ดีเพื่อให้ภรรยารู้ว่า เขาไม่ใช่ตัวถ่วง แต่เป็นผู้ยินดีแบกอุ้มชีวิตของผู้หญิงจนวันสุดท้าย

 เขาคอยเทียวรับเทียวส่ง รับใช้ภรรยาจนแทบไม่มีชีวิตส่วนตัว และด้วยความรักสบาย ภรรยาเลยยินดีเป็นคนเลี้ยงดู ให้สามีอยู่บ้าน ทำงานเล็กๆ น้อยๆ และดูแลการกินการอยู่ ดูแลเรื่องประจำวันของผู้หญิงแทน ทั้งคู่ไม่ได้มีลูกด้วยกัน มีกันแค่สองคน

 แต่รักกันไปซักระยะหนึ่ง ฝ่ายชายเริ่มเห็นว่าตัวตนของเขาหายไปกับการอยู่เพื่อความสำเร็จของฝ่ายหญิง เขาเริ่มบ่นกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วบรรยายความให้ทราบว่า เขาเสียสละเพื่อคนที่เขารักแค่ไหน? เสียสละจนเขามองไม่เห็นว่าตัวเองต้องการอะไร? จนกลายเป็นคนหมดความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปเลย

 ผู้หญิงคนนี้ ด้วยความหวังดี ไปแนะนำให้ผู้ชายคนนี้เลิกกับภรรยา เพราะเธอนึกถึงเรื่องตัวเองที่เคยเหนื่อยสู้ชีวิตเพื่อสามี แต่ท้ายสุด สามีก็ตีตัวออกห่างไปรักคนอื่น ทิ้งเธอไว้กับลูกอย่างไม่เหลือเยื่อใย

 เรื่องมันบานปลายตรงที่ผู้ชายคนนี้ ดันกลับไปบอกภรรยาตัวเองว่า เขาพบผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เข้าใจเขา รู้ว่าเขาต้องการความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ชีวิตที่รับใช้ผู้หญิงไปวันๆ หนึ่ง ภรรยาเขางง เพราะเพิ่งเข้าใจว่า สามีรู้สึกว่าไม่มีตัวตน แต่ประเด็นกลายเป็นว่า ผู้ชายพูดเรื่องผู้หญิงอีกคนที่เข้าใจมากกว่า ฝ่ายหญิงเลยหันไปสนใจประเด็นใหม่ว่า สามีนอกใจ และดึงเอาผู้หญิงคนนี้ที่รับฟังปัญหา เห็นใจสามีตัวเองมาเป็นประเด็น จนกลายเป็นดราม่าขึ้น ปัญหาที่ซ่อน ตอนนี้หนักกว่าเก่า

 แต่ถ้าเราหันมาดูตัวปัญหาที่แท้จริง มันเริ่มจากการที่ผู้ชายคนนี้ยังไม่ยอมแก้ปัญหาตัวเอง หรือเปิดใจกับภรรยาเขาจริงๆ เลยซักที นอกจากนั้นเขาก็รักความสบายและพร้อมให้ผู้หญิงหลายคนเห็นอกเห็นใจเขา เขารู้สึกดีที่มีผู้หญิงเห็นใจเขาเยอะๆ แต่ไม่ได้คิดจะแก้ปัญหาเรื่องการวางแผนชีวิตเองจริงจัง ได้แต่บ่นไปวันๆ

 ผู้หญิงอีกคน กว่าจะทราบความจริงทั้งหมด ก็เสียหายไปด้วยเรียบร้อย เพราะเข้าใจผิดไปเองแล้วว่า ฝ่ายชายถูกเอาเปรียบฝ่ายเดียว เหมือนเรื่องตัวเองที่โดนสามีเอาเปรียบ ฟังผู้ชายนาน จนเห็นใจและคล้อยตาม

 เห็นภาพไหมครับ?

 เพราะเรื่องแบบนี้เกิดประจำ เกิดได้กับทุกคน ที่ใช้หัวใจฟังคนอื่น ดังนั้นให้ระวังทุกครั้ง เมื่อเราอดยุ่งกับดราม่าคนอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่เราฟัง จนใจมันคล้อยตามไปหมดแล้ว

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"