posttoday

อนาคต ‘กระเป๋ารถเมล์’ ไทย เสียงครวญจากผู้ถือกระบอกตั๋ว

15 กรกฎาคม 2560

อาชีพบางประเภทต้องทยอยปิดไป หลังเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผ่อนแรงเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ อย่างอาชีพ

โดย...เอกชัย จั่นทอง

 อาชีพบางประเภทต้องทยอยปิดไป หลังเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผ่อนแรงเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ อย่างอาชีพ “พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง” หรือ “กระเป๋ารถเมล์” ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานเกือบ 100 ปี

 ภาพความคุ้นชินเหล่านั้นอาจเหลือไว้แต่เพียงความทรงจำ เพราะองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้นำระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ทิคเก็ต (e-Ticket) บนรถโดยสารประจำทางมาติดตั้งแทน อาจทำให้ต้องทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4,000 คน ในปี 2560

 หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) ขสมก. มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ (อี-ทิคเก็ต) บนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน สัมปทาน 5 ปี เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับระบบตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุม โดยผู้ชนะการประมูลคือบริษัท ช.ทวี ด้วยวงเงิน 1,665 ล้านบาท จากราคากลาง 1,786.59 ล้านบาท ซึ่งประมูลต่ำกว่าราคากลาง 121 ล้านบาท

 ตามแผนบริษัทคู่สัญญาต้องนำรถล็อตแรก 100 คัน ที่ติดตั้งระบบที่ใช้สแกนบัตรโดยสารและกล่องเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ ภายใน 120 วัน ส่วนล็อตที่ 2 จำนวน 700 คัน ทยอยติดตั้งระบบที่ใช้สแกนบัตรโดยสารก่อน ให้ครบภายในวันที่ 1 ต.ค. 2560 หรือภายใน 180 วัน ภายหลังทำสัญญา หลังจากนั้นค่อยทยอยติดตั้งกล่องเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ และล็อตที่ 3 จำนวน 1,800 คัน จะต้องติดตั้งระบบและให้บริการได้ภายใน 360 วัน นับจากวันลงนามในสัญญา

 ชะตากรรมกระเป๋ารถเมล์ ขสมก. จึงเป็นหนึ่งในอาชีพที่กำลังจะสูญหายไปในยุคดิจิทัลกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการ Disruptive Technologies

 Disrupt หมายถึง ขัด ขวาง กีดขวาง หรือเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงให้เปลี่ยนไปจากสภาวะที่ดำรงอยู่ การเรียกเทคโนโลยีใหม่ๆ ว่า Disruptive Technologies มิได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นอยู่ ประการสำคัญก็คือกระทบต่อการทำมาหากิน ธุรกิจ การดำเนินชีวิตของผู้คน ฯลฯ 

ได้เวลาโละกระเป๋ากระปี๋รถเมล์

 สมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ให้ความเห็นเรื่องดังกล่าวว่า การดำเนินการติดตั้งระบบอี-ทิคเก็ต บนรถโดยสารประจำทางจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 ต.ค.นี้อย่างแน่นอน จำนวน 800 คัน เพื่อให้บริการกับประชาชน

 อย่างไรก็ตาม ส่วนมาตรการดำเนินการกับ “กระเป๋ารถเมล์” ที่อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนไปนั้น ภายในระยะเวลา 2 ปีจากนี้เราจะมีมาตรการเออร์ลี่รีไทร์ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เพื่อจัดระบบการเก็บค่าโดยสารใหม่ เนื่องจากรถเมล์ 1 คัน มีพนักงานอยู่ประมาณ 4 คน แต่จะปรับให้เหลือ 2.4 คน/รถ 1 คัน

รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ระบุว่า นอกจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยพนักงานเก็บค่าโดยสารไปทำตำแหน่งอื่นๆ ทดแทนด้วย ยืนยันจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับพนักงานเก็บค่าโดยสารและส่วนอื่นอย่างแน่นอน

โครงการเออร์ลี่รีไทร์ ทางออกที่ประนีประนอม

 กรณี ขสมก.จะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4,000 คน ในปี 2560 ว่า จากแผนของ ขสมก.นั้น โดยการนำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (เออร์ลี่รีไทร์) และได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

 โครงการเออร์ลี่รีไทร์ พร้อมเสริมทักษะขับรถสาธารณะกลุ่มถูกปรับเป็นพนักงานขับรถแทน และเสริมอาชีพอื่นหากต้องการเปลี่ยนงาน ส่ง กกจ.ช่วยหางานใหม่ พร้อมสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแลเงินทดแทน

 สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีเออร์ลี่รีไทร์ตามกฎหมายของพนักงานรัฐวิสาหกิจ คือ ลูกจ้าง/พนักงานผู้ได้ปฏิบัติในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 5 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงาน เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน และปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกัน 15 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน

 ทั้งนี้ ในกรณีที่นายจ้างมีข้อบังคับ ข้อกำหนดระเบียบ หรือคำสั่งในการจ่ายค่าชดเชยกรณีพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ ให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของเงินเพื่อตอบแทนความชอบ

 พนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย คือ ทำงาน 3 เดือนแต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน/ทำงาน 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปีได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน/ทำงาน 3 ปี ไม่ครบ 6 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน/ทำงาน 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน และทำงาน 10 ปีขึ้นไป ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน

 จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการที่ 2 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จะเข้าไปเสริมทักษะการขับรถสาธารณะให้พนักงานที่ปรับไปเป็นพนักงานขับรถ รวมถึงเสริมทักษะอาชีพอื่นให้กลุ่มที่ถูกเลิกจ้างหากต้องการปรับเปลี่ยนงานด้วย เพื่อให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการ และ 3.กรมการจัดหางาน จะเข้าไปหาตำแหน่งงานใหม่รองรับ และ สปส.จะดูแลเรื่องเงินทดแทนกรณีว่างงาน

 อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน ให้ความมั่นใจพนักงานกระเป๋ารถเมล์ ว่า จากการพูดคุยกับผู้บริหาร ขสมก. ทราบว่าในช่วงนี้ปี 2560 ยังไม่มีนโยบายการปลดพนักงาน เนื่องจากในแต่ละปีทาง ขสมก.จะมีคนเกษียณประมาณ 500 กว่าคน เพราะฉะนั้นจะให้พนักงานเก็บตั๋วโดยสารไปทำงานในตำแหน่งที่ว่างลง หลังจากนั้นจะค่อยๆ ทยอยปรับเปลี่ยนไป

 “ขณะเดียวกันในช่วงที่มีการใช้ระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ คงต้องมีพนักงานเก็บค่าโดยสารอยู่บนรถประจำทาง เนื่องจากประชาชนบางคนอาจไม่คุ้นเคยกับระบบอี-ทิคเก็ต จึงต้องมีพนักงานคอยแนะนำวิธีการใช้อยู่เป็นระยะๆ ก่อน” อนันต์ชัย ย้ำความจำเป็นของกระเป๋ารถเมล์

 โฆษกกระทรวงแรงงาน เผยด้วยว่า จากการพูดคุยกับ ขสมก.ทราบว่าในส่วนพนักงานกระเป๋ารถเมล์ที่ต้องเปลี่ยนไปทำงานตำแหน่งอื่น แล้วยังขาดทักษะในเรื่องของธุรการหรืองานทั่วไปทางกระทรวงแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนเข้าไปอบรมเพิ่มความรู้ทันที เช่น ความรู้เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ ฯลฯ นอกจากนี้ กรมการจัดหางานจะเข้าไปหาตำแหน่งงานใหม่รองรับ และ สปส.จะดูแลเรื่องเงินทดแทนกรณีว่างงาน โดยทาง ขสมก.เองบอกว่ายังขาดพนักงานขับรถจำนวนมาก จึงอาจให้พนักงานกระเป๋ารถเมล์ไปฝึกอบรมแล้วเปลี่ยนจากตำแหน่งพนักงานเก็บค่าโดยสารมาเป็นพนักงานขับรถแทน

 ส่วนกรณีพนักงานเก็บค่าโดยสารผู้หญิง อาจให้ไปทำในส่วนการขายบัตรโดยสารอี-ทิคเก็ตให้กับประชาชนตามจุดใหญ่ๆ เพราะในช่วงแรกจุดขายบัตรโดยสารอาจยังไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันต้องมีการเทรนงานทุกด้านให้กับพนักงานเหล่านี้ด้วย ถ้าหากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงทางกระทรวงแรงงานจะเข้าไปพูดคุยกับทาง ขสมก.ทันที

อนาคต ‘กระเป๋ารถเมล์’ ไทย เสียงครวญจากผู้ถือกระบอกตั๋ว

เสียงครวญจากสหภาพฯ

 วีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) ให้ความเห็นต่อความกังวลใจของพนักงานกระเป๋ารถเมล์ว่า ยืนยันว่าไม่ได้คัดค้านการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ในรถสาธารณะ เพียงแต่ขอให้ทาง ขสมก.ทยอยดำเนินการตามความเหมาะสม เพราะการนำระบบอี-ทิคเก็ตมาใช้ไม่ได้กระทบพนักงานเก็บค่าโดยสารรถเมล์กว่า 4,000 คนเท่านั้น ยังกระทบต่อพนักงานฝ่ายสนับสนุนอื่นๆ อีก 800 คน

 ส่วนพนักงานที่อายุมากๆ จะทำอย่างไร จะไปสมัครงานที่ไหน หรือกรณีคนจะเออร์ลี่รีไทร์ ออกไปเงินก็ได้น้อยแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร แต่ละคนก็มีอายุ 50 ปีขึ้นไปทั้งนั้น งานตำแหน่งอื่นก็ไม่ว่าง แล้วคนไม่มีความรู้จะทำอย่างไร

 “ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารไม่เคยแจ้งข่าวสารต่างๆ กับพนักงาน แต่อ้างการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลตลอด อย่างการประชุมในหลายครั้งไม่ได้ให้สหภาพแรงงาน ขสมก.ในฐานะตัวแทนพนักงานเข้าประชุมพูดคุยเพื่อรับทราบความเคลื่อนไหวใดเลย ตอนนี้ถือว่าบั่นทอนกำลังใจคนทำงานอย่างมาก”

 ประธานสหภาพ ขสมก. แจกแจงความเหมาะสมในการใช้ระบบอี-ทิคเก็ต ว่า ปกติแล้วระบบอี-ทิคเก็ตจะติดตั้งในรถโดยสารปรับอากาศรุ่นใหม่ที่มีการสั่งซื้อ แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ ขณะนี้กำลังจะนำระบบอี-ทิคเก็ตไปติดตั้งในรถโดยสารประจำทางไม่ปรับอากาศสีครีมแดง จำนวน 800 คัน คือรถประจำทางให้บริการรับ-ส่งประชาชนฟรีอยู่ในปัจจุบัน จากทั้งหมดจำนวน 1,600 คัน ส่วนรถปรับอากาศ 1,128 คัน

 “รถสีครีมแดงส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานนานกว่า 26 ปีแล้ว ถ้าหากติดตั้งไปในอนาคตก็ต้องถอดออก เพราะรถที่ติดตั้งสภาพเก่ามากถือว่าเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสมาร์ทการ์ดได้ใช้ และเป็นตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้ ขสมก.ดำเนินการให้เสร็จภายในเดือน ต.ค.นี้”

 วีระพงษ์ เสนอแนะต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าขอให้การใช้ระบบอี-ทิคเก็ต ทยอยทำไปได้หรือไม่? เราควรมีการทดลองใช้ระบบอี-ทิคเก็ตในเส้นทางโดยสารหนาแน่นก่อนว่า ประชาชนจะปฏิบัติอย่างไร เช่น การแตะบัตรทำอย่างไร รอคิวยาวหรือไม่ แล้วคนที่ไม่มีบัตรโดยสารทำยังไง เคยทำประชาพิจารณ์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบหรือไม่ ทุกอย่างควรพิจารณาให้รอบคอบ แล้วระบบอี-ทิคเก็ตเหมาะสมกับประเทศไทยแล้วหรือยัง เนื่องจากบ้านเราการจราจรไม่เหมือนประเทศอื่นแตกต่างกันออกไป

 นอกจากนี้ เรื่องปฏิรูปเส้นทางการขนส่งมวลชนที่อยู่ระหว่างการสำรวจปรับแก้ให้เชื่อมโยงกับโครงข่าย ดีหรือไม่ถ้าให้การปรับปรุงเส้นทางเสร็จสิ้นก่อนแล้วนำระบบอี-ทิคเก็ตมาใช้น่าจะมีความพร้อมมากกว่า เราจะไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ตอนนี้ยังอยู่ยุคไทยแลนด์ 1.0 อยู่เลย

ไปไม่ได้กลับไม่ถึง ชีวิตกระเป๋ารถเมล์

 ศิริวรรณ แก้วน้อย อายุ 45 ปี พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง สาย 511 ระบายความรู้สึกว่า ทำงานเก็บค่าโดยสารมานานกว่า 13 ปี มองว่าระบบอี-ทิคเก็ตยังไม่เหมาะสมกับคนไทย เพราะผู้สูงอายุมีจำนวนมาก การเรียนรู้ระบบเดินทางตรงนี้อาจเกิดความไม่เข้าใจ รวมถึงการเชื่อมต่อระบบขนส่งอื่นยังไม่เป็นระบบพอ ซึ่งคิดว่าจะเป็นภาระให้คนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 “ส่วนหน้าที่การงานของตัวเอง ยอมรับครั้งแรกกังวล แต่ตอนนี้พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากลูกจบการศึกษา เลยไม่มีอะไรน่าห่วงมาก ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนไปทำงานในส่วนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่เพื่อนพี่น้องร่วมอาชีพเก็บค่าโดยสารรถเมล์กังวลกันคือ กลุ่มพนักงานใหม่และพนักงานช่วงกลางที่เกรงว่าจะตกงาน ส่วนคนช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไปก็พร้อมจะเออร์ลี่รีไทร์ เนื่องจากพวกเขาทำใจแล้วว่าไม่มีตำแหน่งงานใดรองรับได้ เพราะด้วยอายุและทักษะอาจเป็นอุปสรรคได้” ศิริวรรณ กล่าว

 พนักงานเก็บค่าโดยสารสาย 511 ยังบอกอีกว่า ขสมก.มีพนักงานเก็บค่าโดยสารกว่า 5,000-6,000 คน หากต้องตกงานครอบครัวอาจได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะสวัสดิการที่เคยได้ อาทิ เบี้ยเลี้ยง เปอร์เซ็นต์หน้าตั๋วโดยสาร โอที ฯลฯ ต้องถูกตัดออกหมด ยอมรับเป็นห่วงพนักงานด้วยกัน ที่มักพูดคุยกันกลัวเรื่องความมั่นคงและแผนการดำเนินการที่ยังไม่มีความชัดเจน

 ไม่ต่างจากความคิดเห็นของ อารีย์ ฟองมณี อายุ 48 ปี พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง สาย 505 เผยว่า ทำงานเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารมานานกว่า 11 ปีแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงก็ถือว่าใจหาย เพราะเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับรถโดยสารประจำทางมานานมาก แต่ในเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเข้ามาก็พร้อมและยอมรับการปรับเปลี่ยน กังวลแทนกับเพื่อนพนักงานกระเป๋ารถเมล์คนอื่นที่รู้สึกเครียดกังวลไม่น้อย จะต้องตกงานไม่มีงานทำหรือไม่ แล้วภาระในครอบครัวจะทำอย่างไร ล้วนเป็นสิ่งที่พนักงานหลายคนกลัว

 “อย่างรถเมล์สาย 505 มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก หากนำระบบอี-ทิคเก็ตเข้ามาใช้เชื่อว่าเกิดปัญหาแน่นอน อย่างช่วงเซ็นทรัลเวิลด์คนใช้บริการขึ้นรถแต่ละครั้ง 40-50 คนขึ้นมาทีเดียวยังไงระบบอี-ทิคเก็ตก็ไม่ทัน ในระยะเวลา 1 ชั่วโมงก็ไม่สามารถเก็บเงินผู้ใช้บริการได้หมด แต่ถ้ามีพนักเก็บค่าโดยสารปกติ พอผู้โดยสารขึ้นมานั่งเราก็สามารถไล่เก็บได้”

 เช่นเดียวกับ กานต์มณี ปะนัดตา อายุ 45 ปี พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง สาย 71 แสดงความเห็นว่า จากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ต่างรู้สึกกังวลไม่น้อยว่าจะไม่มีงานทำ เพราะการที่จะให้ไปทำในตำแหน่งอื่นก็ไม่มีตำแหน่งว่าง ไม่สอดรับกับจำนวนคนที่มีอยู่ อีกทั้งเรื่องคุณสมบัติ การศึกษา ความสามารถของพนักงานแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

 “อย่างจะให้เออร์ลี่รีไทร์ มีเงินก้อนพอที่จะให้เขามีเงินใช้เพียงพอหรือไม่ เพราะออกไปแล้วคนเหล่านี้ก็ไม่มีงานทำ โดยเฉพาะคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนจะให้พนักงานหญิงไปขับรถถามว่าใครจะไปขับได้ ประสบการณ์ก็ไม่มี ขับก็เกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบหลายอย่างไม่ใช่เพียงพนักงานคนเดียวเท่านั้น” กานต์มณี ระบุย้ำ

อนาคต ‘กระเป๋ารถเมล์’ ไทย เสียงครวญจากผู้ถือกระบอกตั๋ว

วิธีการใช้อี-ทิคเก็ตเบื้องต้น

 ขสมก.ได้ลงนามสัญญาเช่าระบบบัตรอี-ทิคเก็ต กับบริษัท ช.ทวี ผู้ประกอบการจาก จ.ขอนแก่น ที่ผลักดันโครงการ "ขอนแก่นซิตี้บัส" สำเร็จมาแล้ว

 "ช.ทวี" จับมือพันธมิตร 4 รายจากประเทศเกาหลี ได้แก่ บริษัท จัมป์ อัพ บริษัท เอเชนเทค (ประเทศไทย) บริษัท เอ็มโอแอล เพย์เมนท์ และ T-Money เพื่อติดระบบในรถเมล์ ขสมก. จำนวน 2,600 คัน วงเงิน 1,665 ล้านบาท ระยะเวลาสัมปทาน 5 ปี

 ระบบอี-ทิคเก็ต เครื่องอ่านบัตร และเครื่องเก็บค่าโดยสารในรถประจำทาง จะเริ่มดำเนินการสำหรับรถโดยสารที่ให้บริการฟรีก่อน 800 คัน ให้แล้วเสร็จและใช้บริการได้ทันวันที่ 1 ต.ค.นี้ เพื่อรองรับการออกบัตรสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีอยู่ในระบบ 14 ล้านราย ตามนโยบายของรัฐบาล คสช. ซึ่งในบัตร 1 ใบ ทางกระทรวงการคลังจะใส่เงินให้จำนวน 600 บาท จากนั้นจะทยอยติดตั้งจนครบ 2,600 คัน ภายใน 300 วัน นับตั้งแต่มีการลงนามสัญญา

 เครื่องจำหน่ายอี-ทิคเก็ตจะมีทั้งแบบบัตรโดยสารและหยอดเหรียญ สำหรับวิธีการใช้งานเครื่องอ่านบัตรสามารถใช้ร่วมกับบัตรสวัสดิการ หรือบัตรแมงมุม โดยจะแสดงข้อมูลของเจ้าของบัตร เมื่อนำบัตรไปวางไว้ที่เครื่องสแกน เครื่องจะทำการหักเงินในบัตร และเมื่อจะลงจากรถก็นำบัตรไปสแกนอีกครั้ง ระบบจะคิดตามอัตราค่าโดยสารจริง

 หากเดินทางไม่สุดระยะทางของรถโดยสารสายนั้น ระบบก็จะคืนเงินในบัตรให้ เพื่อป้องกันการไม่จ่ายค่าโดยสาร เช่น อัตราค่าโดยสารสูงสุด 40 บาท หากเดินทางอัตราค่าบริการ 20 บาท ระบบจะคืนเงินอีก 20 บาท เมื่อไปสแกนบัตรเพื่อลงจากรถ

 ส่วนเครื่องหยอดเหรียญ ให้กดเลือกระบุวัย จากนั้นก็เลือกจุดหมายปลายทางที่จะลง ซึ่งตัวเครื่องจะแสดงค่าโดยสารให้หยอดเหรียญลงไป หากใส่เกินก็จะสามารถทอนเงินได้ เมื่อจ่ายค่าโดยสารเสร็จจะมีใบเสร็จที่มีบาร์โค้ดคล้ายตั๋วรถโดยสาร เอาไว้สำหรับนายตรวจมาตรวจสอบตั๋วโดยสาร

 สำหรับบัตรโดยสารที่นำมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บค่าโดยสาร ลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็วในการเดินทาง และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่เสียค่าแรกเข้า

 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถอยู่เพื่อแนะนำวิธีการใช้ และแลกเหรียญในกรณีที่ผู้โดยสารไม่มีเหรียญหยอดเครื่องเก็บค่าโดยสาร ก่อนที่จะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4,000 คน ไปทำหน้าที่อื่นภายใน 2 ปีนี้

ตามรอยกระบอกตั๋ว...ที่มาของกระเป๋ารถเมล์

 ข้อมูลจากเว็บไซต์ bangkokbusclub.com บอกว่า "กระบอกตั๋ว" ที่พนักงานเก็บค่าโดยสาร (พกส.) ถืออยู่ในมือ ควบคู่กันไปกับการเก็บค่าโดยสาร มีประวัติความเป็นมายาวนานเป็นร้อยปีมาแล้ว

 เดิมทีเดียวการเก็บค่าโดยสารโดยใช้ตั๋วเริ่มมาจากเรือเมล์ก่อน เพราะเรือเมล์เกิดก่อนรถเมล์ ตั๋วที่ใช้กับเรือเมล์นั้นจะเป็นชนิด "ตั๋วพับ" แบบซ้อนกันเป็นพับๆ จึงนิยมเรียกว่า "ตั๋วพับ" มีลักษณะเป็นแถว แถวละ 5 ใบพับซ้อนกัน การใช้จะใช้มือฉีก (เล็บฉีก) สมัยก่อนพนักงานผู้เก็บค่าโดยสารจึงนิยมไว้เล็บกันยาวพอสมควร เพื่อสะดวกในการฉีกตั๋ว

 ลักษณะตั๋วมีสีต่างตามชนิดราคา เช่น 5 สตางค์ 10 สตางค์ 15 สตางค์ เป็นต้น ตั๋วพับปึกหนึ่งจะมี 100 ใบ 500 ใบ วิธีใช้จะใช้ผ้าหนาๆ เย็บเป็นเข็มกลัดรัดตั๋วไว้เป็นพับๆ ยาวประมาณ 5-6 นิ้ว กว้าง 1 นิ้วพอดีเท่ากับตั๋ว โดยจะใช้ฉีกตั๋วเป็นใบๆ ให้แก่ผู้โดยสาร

 ต่อมาในราวปี 2461 บริษัท นายเลิศ ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถเมล์ในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ได้นำตั๋วพับของเรือเมล์มาใช้กับรถเมล์ขาวของบริษัท นายเลิศ เป็นครั้งแรก ซึ่งโรงพิมพ์ตั๋วรถเมล์ดูเหมือนจะมีไม่มากในสมัยนั้น เช่น ที่โรงพิมพ์รวมช่าง อยู่แถวตลาดน้อย หรือที่ร้านศิริวิทย์ ย่านบางลำพู เป็นต้น

 เพื่อสะดวกในการเก็บค่าโดยสารได้รวดเร็วขึ้น บริษัท นายเลิศ ได้เปลี่ยนตั๋วพับมาเป็นตั๋วม้วนพร้อมกับนำกระบอกตั๋วมาใช้ควบคู่กันเป็นบริษัทแรก

 กระบอกตั๋วสมัยก่อนทำด้วยโลหะทองเหลือง ยาวประมาณ 1 ฟุต มีขนาดเดียว ทำเป็นช่องๆ 4-5 ช่อง โดยมีตั๋วสำรองเก็บไว้ในแต่ละช่อง เพื่อเตรียมพร้อมตั๋วมีแต่ละขนาดราคา กระบอกตั๋วนี้จะใช้เก็บตั๋วอย่างเดียว ไม่ใช้เก็บเศษเหรียญหรือค่าโดยสารอย่างปัจจุบัน ซึ่ง พกส.จะมีกระเป๋าสะพายไว้เก็บเงินโดยเฉพาะ (เป็นลักษณะคล้ายกระเป๋าสุภาพสตรี แต่ใบจะเล็กกว่ามีสายสะพายยาวไว้คล้องช่วงคอและบ่า)

 ในระยะหลังต่อมาพิจารณาเห็นว่ากระเป๋าสายสะพายเกะกะไม่สะดวกต่อการใช้ เพราะต้องเบียดเสียดกับผู้โดยสารจึงไม่คล่องตัวเท่าที่ควร จึงหันมานิยมใช้เศษเหรียญเก็บในช่องกระบอกตั๋วแทน โดยทำเป็นช่องใหญ่กว่าเก็บตั๋วธรรมดา กระบอกตั๋วจึงมีลักษณะความยาวแตกต่างกันตามแต่ละบริษัท เพราะบางบริษัทมีตั๋วราคาเดียว หรือ 2-3 ราคา ตามความเหมาะสม แต่ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 3 ชนิด คือ ชนิดสั้น ชนิดกลาง และชนิดยาว

 ภายหลังไม่นาน มีการเปลี่ยนแปลงกระบอกตั๋วชนิดทำด้วยโลหะทองเหลืองมาเป็นทำด้วยโลหะสังกะสีตะกั่ว ซึ่งแหล่งจำหน่ายกระบอกตั๋วมีอยู่ตามย่านตลาดใหญ่ๆ เช่น แถวเฉลิมกรุง ย่านบางลำพู เป็นต้น

 จากนั้นได้วิวัฒนาการดัดแปลงกระบอกตั๋วมาเป็นแบบสเตนเลสตามความนิยมแทน ทั้งนี้เพื่อความคงทนถาวรและสวยงาม ปัจจุบันหาซื้อได้ตามแหล่งตลาดใหญ่ๆ ในราคา 150-200 บาทตามแต่ลักษณะสั้นยาว

 กระบอกตั๋วนับว่ามีความสำคัญต่ออาชีพกระเป๋ารถเมล์อย่างยิ่ง จะเรียกว่า "กระบอกตั๋วคู่ชีพ พกส." ก็เห็นจะไม่ผิด เพราะก่อนจะขึ้นมาเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารนั้น ทุกคนจะต้องมี "กระบอกตั๋ว" ติดตัวเตรียมพร้อมเสมอ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถอย่างเด็ดขาด

 สรุปก็คือว่าการเรียกคนเก็บสตางค์รถเมล์ว่ากระเป๋ารถเมล์ ทั้งที่อุปกรณ์ที่ใช้เก็บเงินนั้นเป็นกระบอกตั๋ว ไม่ใช่กระเป๋า ก็เพราะว่าในสมัยก่อนคนเก็บสตางค์จะมีกระเป๋าหนังใบใหญ่คล้องไหล่ไว้ใส่เงิน กระเป๋านี้แหละที่ทำให้เราเรียกพนักงานเก็บค่าโดยสารว่ากระเป๋ารถเมล์มาจนบัดนี้

ข่าวล่าสุด

ทร.แจงไม่ได้ข่มขู่กัมพูชา ย้ำใช้กลไกทวิภาคีปมเขื่อนกันคลื่น