ถอดหน้ากากโพนี่ ศิรภัสรา สินตระการผล
“เกิร์ลกรุ๊ปในบ้านเรามีความสามารถมากกว่าแค่เต้น” น่าจะเป็นประโยคที่แทงใจคนไทยทั้งประเทศ เมื่อสาวร่างบางภายใต้หน้ากากโพนี่ แปม-ศิรภัสรา สินตระการผล
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
“เกิร์ลกรุ๊ปในบ้านเรามีความสามารถมากกว่าแค่เต้น” น่าจะเป็นประโยคที่แทงใจคนไทยทั้งประเทศ เมื่อสาวร่างบางภายใต้หน้ากากโพนี่ แปม-ศิรภัสรา สินตระการผล วัย 28 ปี ได้เผยความในใจบนเวที The Mask Singer หน้ากากนักร้อง
“ก่อนจะถอดหน้ากากก็กลัวว่า คนจะงงไหม แต่พอได้ถอดหน้ากากจริงๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกดีใจมากกว่า ที่ได้มาทำความรู้จักกับทุกคนผ่านเสียงเพลง” เธอกล่าวไว้ในรายการหลังถอดหน้ากาก หลังได้พิสูจน์แล้วว่า ความ
เซ็กซี่และสเต็ปการเต้นของเกิร์ลกรุ๊ปยังมีคำว่า “คุณภาพ” ของเสียงร้องอยู่จริง
ความฝัน
“คืนที่แปมถอดหน้ากาก คืนนั้นนอนไม่หลับเลย หนึ่งเพราะตื่นเต้นเองด้วย และเพราะมีเสียงโทรศัพท์เข้าตลอดเวลา หลังจากทุกคนรู้แล้วว่าหน้ากากโพนี่คือเรา”
แปมกล่าวถึงค่ำคืนเปลี่ยนชีวิตเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่กว่าจะมาเป็น “แปม หน้ากากโพนี่” อย่างที่คนไทยรู้จักอยู่ตอนนี้ เส้นทางการเป็นนักร้องของเธอไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่แค่เต้นได้จะเป็นนักร้องได้อย่างที่หลายคนคิด
จุดเริ่มต้นของความฝัน เธอเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีก่อน เมื่อรู้ตัวเองว่ามีความฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เป็นเด็กประถมปลาย ซึ่งสิ่งที่จุดประกายคือ เทปคาสเซตศิลปินเกาหลีที่พี่สาวฟัง
“ไม่เคยแข่งขันการร้องเพลงมาก่อน รู้แต่ว่าพอได้ฟังเพลง ได้ดูมิวสิกวิดีโอของนักร้องเกาหลี แล้วอยากเป็นนักร้อง ซึ่งแปมเคยเรียนร้องเพลงกับครูอ้วน (มณีนุช เสมรสุต) แค่คลาสเดียว หลังจากนั้นก็ฝึกร้องเองมาตลอดจนรู้สึกว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วให้ร้องเป็นจริงๆ”
จากเด็กหญิงเริ่มย่างเข้าสู่วัยที่ต้องเลือกเส้นทางเดินให้เหมาะเจาะกับความฝัน เธอจึงตัดสินใจเดินทางจากเชียงใหม่ ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ โดยเลือกเรียนคณะธุรกิจอังกฤษ โปรแกรมภาษาอังกฤษ ด้วยความคิดที่อยากเก่งภาษาอังกฤษ “เผื่อ” ปูทางไปเป็นนักร้องต่างประเทศ
ฟันฝ่า
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เธอได้หาประสบการณ์ผ่านเวทีแข่งขันร้องเพลงต่างๆ ทั้งเวทีเดอะสตาร์ที่ไม่ผ่านแม้รอบแรก บ้านทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ในรอบ 100 คน ทว่าได้ผ่านเข้ารอบลึกสุดในรายการโกลบอล ซูเปอร์ ไอดอล รายการเกาหลีที่ค้นหาคนไทยไปแข่งร้องเพลง ซึ่งเธอเป็น 1 ใน 6 คนไทยที่ได้ไป
“การไปแข่งขันที่เกาหลีต้องใช้เวลา 3 เดือน ทำให้ต้องดร็อปเรียนปี 4 แล้วทุ่มเวลาให้กับการทำความฝันนั้น” แปมกล่าวต่อ “เป็นการแข่งขันที่ยากมาก หนึ่งคือเรื่องภาษาที่ใช้สื่อสาร สองคือเรื่องการร้องและเต้น โดยเฉพาะเรื่องการร้องเป็นสิ่งกดดันมาก เพราะคนเกาหลีเก่ง เรียนร้องเพลงมาทุกคน เสียงพุ่งทุกคน พอไปแข่งทำให้เรากลายเป็นคนเสียงอ่อน เสียงเบาไปเลย ซึ่งเราต้องพัฒนาเสียง พัฒนาทุกอย่างภายใต้ความกดดัน บวกกับคนเกาหลีเป็นคนที่ทะเยอทะยาน ขยัน และมุ่งมั่นมากๆ ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไปยังสงสัยอยู่เลยว่า เราผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังขอบคุณโอกาสที่ได้ไปแข่ง เพราะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้นมากและพัฒนาขึ้นมากจริงๆ”
ผลสรุปคือ เด็กไทยคนนี้สามารถเข้าไปสู่รอบสุดท้ายและคว้าอันดับ 2 มาได้ ซึ่งแม้ว่ารายการจะไม่การันตีรายได้หรืออาชีพนักร้องหลังจบการแข่งขัน แต่เธอก็ได้รับโอกาสจากค่ายดูเอดอท ในเครือเวิร์คพอยท์ ให้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มศิลปินหญิงเบอร์แรกของค่ายนาม “ไกอา” วงหญิงล้วนที่เน้นความสนุกสนาน เน้นท่าเต้นเป๊ะถูกจังหวะ ซึ่งทำให้คนติดภาพว่าเป็นวงเคป๊อป
“การเป็นเกิร์ลกรุ๊ปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องเครียดมาก โดยที่คนส่วนใหญ่ที่เห็นผลงานของพวกเราแล้วดูสนุก ดูฟรุ้งฟริ้ง แต่กระบวนการทำงานจริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะเราต้องทำงานหลายมิติมากทั้งทีมเวิร์ก เต้น ร้อง การจัดสรรเวลา ซึ่งตอนแรกเลยไกอาจะขายความเป็นวงที่เต้นเก่ง ลุคดูดี ซึ่งตรงนี้แปมว่าเราทำถึง แต่เรื่องของการโชว์พลังเสียงยังมีน้อยเพราะแนวเพลงเป็นเพลงป๊อปแดนซ์ ทำให้คนฟังเพลงยังเห็นไม่ชัดว่า เราเป็นนักร้องที่สามารถเต้นได้ดีด้วย”
แต่แล้วโอกาสก็ถูกหยิบยื่นให้เธออีกครั้งในรายการ หน้ากากนักร้อง ซีซั่น 1 ที่ทำให้แปมได้โชว์พลังเสียงและความน่ารักอย่างที่ตัวเองเป็นภายใต้หน้ากากนั้น
ถอดหน้ากาก
ตั้งแต่วันที่แปมถอดหน้ากาก เธอรู้ทันทีว่า ชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไป ทั้งจำนวนคนที่รู้จักเธอในวงแคบกลายเป็นขยายไปสู่คนทั้งประเทศ จากภาพของเกิร์ลกรุ๊ปขาแดนซ์ ได้เปลี่ยนเป็นภาพนักร้อง จากคนที่ตามเธอเพราะท่าเต้น ก็เปลี่ยนเป็นตามเพราะเสียงร้อง หรือยอดติดตามในยูทูบส่วนตัว จากหลักพันนิดๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็นแสนแปดหน่อยๆ และมีคนติดตามในอินสตาแกรม จากหกหมื่นกว่ากลายเป็นทะลุสามแสนไปแล้ว
“เมื่อก่อนเราไปร้องเพลงเป็นวงคือ การไปแสดง (Performance) แต่วันนี้เราร้องเพลงในฐานะ แปม หน้ากากโพนี่ เราต้องทำอะไรคนเดียว ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ต้องรับผิดชอบงานคนเดียวได้” เธอกล่าว
“การเป็นศิลปินกึ่งเดี่ยวแบบนี้มันก็มีข้อดีของมัน แต่ก็มีข้อเสียอยู่ เพราะแปมยังไม่รู้สึกว่า ไม่ได้เป็นศิลปินเต็มตัว เพราะเราอยากมีผลงาน อยากมีเพลงของตัวเองให้แฟนๆ ได้ติดตามต่อ ถ้ามีซิงเกิ้ลของ
ตัวเองก็จะเป็นการเติมเต็มความเป็นศิลปิน เพราะเวลาร้อง เราก็อยากร้องเพลงที่แต่งขึ้นมาจากเรา เป็นเรื่องราวของเรา และที่สำคัญคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวหรือทำงานคนเดียวให้ได้ และต้องทำให้ดี”
นอกจากนี้ งานในวงการบันเทิงด้านอื่นก็เริ่มเปิดโอกาสให้เธอได้ทำ ทั้งงานแสดงคอนเสิร์ตและงานละคร ซึ่งล่าสุดกำลังมีละครเรื่อง ยุทธการสลัดนอ ออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ 3 ถัดจากเรื่องเกมริษยา และดอกไม้ลายพาดกลอน
“การแสดงมันช่วยเรื่องร้องเพลง เพราะการร้องเพลงก็เหมือนการเล่าเรื่องในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นการเข้าถึงอารมณ์หรือการแสดงออกทางอารมณ์ก็สามารถส่งเสริมการร้องเพลงได้ในอีกระดับด้วย” เธอกล่าวเพิ่มเติม
ถอดชีวิต
จากเด็กที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องบนปกเทปคาสเซต จนวันนี้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ถือไมค์เป็นอาชีพ แปมบอกคนอื่นตลอดว่า มีคนอีกมากมายที่ร้องเพลงเพราะแต่ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งเธอได้เรียนรู้แล้วว่า ถ้าหากกล้าแสดงออกเร็วกว่านี้สักนิด เธอจะไปถึงปลายทางเร็วกว่านี้
“ตอนนี้แปมกล้าสบตาคน กล้าพูด กล้าสื่อสาร และที่สำคัญคือ กล้าเป็นตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แปมเคยเป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงเวลาอยู่หน้าคนเยอะๆ แต่เมื่อเราโตขึ้นและเริ่มต้นทำความฝัน มันจะสอนให้เรารู้จักการเป็นตัวเอง และการได้เป็นตัวเองจะทำให้เรารู้สึกสบาย เมื่อรู้สึกสบายเราก็จะสบายใจและมีความสุขต่อไปเรื่อยๆ”
สำหรับอนาคตเธอไม่อาจตอบได้ว่า จะอยู่จุดใดหรืออยู่ค่ายไหน แต่เธอยังเห็นตัวเองชัดเจนว่า จะยังคงร้องเพลงต่อไป เพราะเธอรู้แล้วว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไรและมีความสุขในแบบไหนในความเป็นตัวเอง


