อดีต มิอาจถูกฝังลืมชั่วนิรันดร์

โดย...เพรงเทพ

“ความตายคือประตูไปสู่การมีชีวิตใหม่” เป็นความเชื่อความศรัทธาของชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งเป็นมูลฐานในการคิดค้นวิทยาการในการทำมัมมี่ขึ้นมาเพื่อรอการกลับมาคืนสู่ร่างอีกครั้ง

 “เดอะ มัมมี่” (The Mummy) ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่ได้ดาราระดับซูเปอร์สตาร์ที่ดึงดูดคนดูอย่าง ทอม ครูซ มาเป็นตัวชูโรง ซึ่งก็เป็นความคาดหวังจากคนดูที่จะดูภาพยนตร์เรื่องนี้กับดาราที่ชอบ ด้วยความบันเทิง ลุ้นสุดตัว และสนุกสนานเดินออกจากโรงอย่างมีความสุข

 การใช้มัมมี่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง โดยย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์โบราณของชาวไอยคุปต์ ผ่านมัมมี่หญิงที่มีชื่อว่า “อะห์มาเนต” ซึ่งเป็นชื่อที่นำมาแปลงให้มีความสมจริงโดยอ้างอิงได้จาก อะมูเนต นักบวชหญิงของเทพีฮาธอร์ ซึ่งค้นพบในนครธีบส์ อดีตเมืองหลวงยุคแรกของอียิปต์โบราณ ซึ่งมัมมี่ร่างนี้นี้มีรอยสักเป็นรูปลายเส้นและจุด ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถมองเห็นได้อยู่ที่ผิวหนังของเธอ

 ชื่อของ อะมูเนต มีความหมายว่า สตรีลึกลับที่มีพลังในการติดต่อสื่อสารกับสิ่งลี้ลับได้ ตามตำนานอียิปต์โบราณเล่าว่า จริงๆ แล้วเทพีอะมูเนตเป็นร่างผู้หญิงของเทพอะมุน เทพแห่งสายลม ซึ่งทั้งเป็นหนึ่งในเทพผู้สร้างโลกตามของเมืองเฮอร์โมโพลิส ลักษณะของเทพีอะมูเนตจะมีร่างเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นงูยักษ์

การกลับมาฟื้นชีพของเจ้าหญิงอะห์มาเนต ที่ขายวิญญาณให้กับเทพเซต ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้ายุคแรกๆ ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลทราย พายุ ความมืด และความชั่วร้ายทั้งปวงในความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ การก่อการฆ่าฟาโรห์ ผู้เป็นพระราชบิดา มเหสี และพระราชโอรส เพื่อแย่งบัลลังก์ ทำให้เจ้าหญิงอะห์มาเนตถูกจับตัวและทำเป็นมัมมี่ทั้งเป็น นำไปสะกดวิญญาณอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในทะเลทรายสุดไกลโพ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศอิรัก

 การมาถึงของกองทัพสหรัฐอเมริกา โดยมีทหารนอกแถวอย่าง นิค มอร์ตัน ซึ่งรับบทโดย ทอม ครูซ พร้อมคู่หูอีกคนในการแกะรอยตามกลุ่มก่อการร้ายที่เข้ายึดและทำลายแหล่งโบราณสถาน เพื่อหาขุมทรัพย์จนมาเจอหลุมฝังศพของเจ้าหญิงอะห์มาเนต การฟื้นคืนชีพจึงเกิดขึ้น

 แน่นอน ถ้าวัดกันที่ความมันและความลึกซึ้งต่างๆ จังหวะจะโคนในการเล่าเรื่องดูยังไม่ลงตัวนัก แต่ก็ถือว่าสอบผ่านในความพยายามเขียนบทผูกโยงระหว่างตำนานอียิปต์โบราณของเทพด้านมืดหรือประวัติศาสตร์ด้านมืดให้เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ผ่านอาวุธคือ กริชมณี ที่ถูกนำมาสู่อังกฤษในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 2 จนมาถึงสงครามในตะวันออกกลางในยุคปัจจุบัน

 ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรมถือว่าทำได้ดีและรัดกุมอยู่พอสมควร เพียงแต่การวางฉากและการต่อสู้ดูไม่อลังการทำลายล้างมากมายเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเปิดตัวไปสู่ภาคต่อมาที่ดีเรื่องหนึ่ง

 ตัวละครต่างๆ ก็ล้วนเหมาะสม ไม่ว่าบทนำเดินเรื่องคู่กับ ทอม ครูซ โซเฟีย โบเทลล่า ซึ่งรับบท เจ้าหญิงมี่อะห์มาเนต และมีแอนนาเบล วอลลิส ซึ่งรับบทนักโบราณคดีด้านอียิปต์วิทยา เจนนี ฮัลซี ก็ทำได้ดี และไปหวังอะไรกับ ทอม ครูซ ในเรื่องการแสดงไม่ได้อย่างแน่ๆ เท่านี้ก็ขายความหล่อในฐานะไอ้ตัวร้ายที่ลึกๆ มีจิตใจใฝ่ดีอยู่ ทำให้เห็นความพยายามสร้างมิติของตัวละครอย่างจงใจอยู่บ้าง

 ทีเด็ดต้องอยู่ที่ดาราเจ้าบทบาทระดับรางวัลออสกาสร์ รัสเซล โครว์ ซึ่งรับบท ดร.เจคเคิล แม้จะออกมาในช่วงท้ายของเรื่อง รัศมีของเขาได้เปล่งฉายออกมาว่าตัวละครตัวนี้มีความลึกและซับซ้อนอย่างน่าใส่ใจอีกตัวหนึ่ง และเป็นกุญแจแม่สำคัญที่สุดที่จะดำเนินในภาคต่อๆ ไป ผ่าน “The Prodegium” องค์กรลับที่ออกค้นหาสายพันธุ์ปีศาจทั่วโลกด้วยจุดหมายบางอย่างที่มีความลึกลับ น่าค้นหาเป็นอย่างมาก

 “มีเคราะห์กรรมที่สาหัสกว่าความตาย” คงเป็นประเด็นสำคัญที่บ่งชี้ถึงตัวละครเอกท้ายเรื่องที่ยอมตายไปเป็นอสูรกายเพื่อคนที่ตัวเองรัก โดยไม่ขายวิญญาณให้กับความชั่วร้าย ดังประโยคทิ้งท้ายของ ดร.เจคเคิล ที่ทำให้ผู้ชมลุ้นติดตามถึงความเป็นของนิคว่า เขาจะฟื้นคืนชีพมาอย่างไร?

 “บางครั้งเราจะรบกับอสุรกายก็ต้องใช้อสุรกาย”

 เอาเป็นว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและมีความรอบคอบอยู่ในการสร้างบทและตัวละครอยู่พอสมควร เพียงแต่ในการสร้างความเชื่อมีน้ำหนักตามท้องเรื่องอย่างไม่เพียงพอนักก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการนำจิตวิญญาณของภาพยนตร์มัมมี่เมื่อเกือบ 90 ปี ที่แล้วให้ฟื้นมาสู่ความร่วมสมัยของภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น-แฟนตาซี-ผจญภัย ที่ขายความบันเทิงได้ลงตัว แม้ไม่ดีที่สุดก็ตาม