‘ร้านหนังสือแมวฮกเกี้ยน’ นฤพนธ์ สุดสวาท
“หอนาฬิกาที่หาช่างซ่อมไม่ได้” เป็นเรื่องสั้นของ นฤพนธ์ สุดสวาท ซึ่งได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ครั้งที่ 15 ประจำปี 2557
โดย...พริบพันดาว ภาพ : เฟซบุ๊ก Naruepon Sudsawad
“หอนาฬิกาที่หาช่างซ่อมไม่ได้” เป็นเรื่องสั้นของ นฤพนธ์ สุดสวาท ซึ่งได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ครั้งที่ 15 ประจำปี 2557 ทำให้เขาเป็นนักเขียนที่ถูกจับตามองคนหนึ่งในวงการวรรณกรรมไทย
เขาแจ้งเกิดการเขียนด้วยข้อเขียนท่องเที่ยวกึ่งบันทึก ด้วยลีลาและภาษาที่โดดเด่น และมีมุมมองที่แปลกใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรางวัลเรื่องสั้นจากรางวัลกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ การันตี
อีกคำรบหนึ่ง
งานรวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดของนฤพนธ์ คือ “ร้านหนังสือแมวฮกเกี้ยน” ถูกจับตามองจากบรรดานักอ่าน จากในหนังสือเล่มนี้ที่เขียนบรรยายสรรพคุณไว้ว่า
การวางโครงเรื่อง การจัดองค์ประกอบ การตัดต่อบรรยากาศแบบภาพยนตร์ การตัดปะแบบจิตรกรรมร่วมสมัย ความชาญฉลาดในการใช้ความจริงมาอิงความลวง การสร้างบรรยากาศกึ่งฝันกึ่งพิศวงโน้มนำให้ผู้อ่านพลัดหลงเข้าไปในเรื่องเล่าที่ซับซ้อน ตำนานปรัมปราซึ่งผูกเรื่องวิทยานิพนธ์ ผู้คนพื้นเมือง ข่าวหนังสือพิมพ์ รูปธรรมของสถานที่ที่มีอยู่จริง อันนำไปสู่แก่นของเรื่องที่ซ่อนไว้อย่างมีชั้นเชิง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เรื่องสั้นบางเรื่องในเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ตีพิมพ์ในนิตยสาร Southeast Asian Literature อีกด้วย
นฤพนธ์ บอกว่า การเริ่มต้นเขียนหนังสือของเขาไม่น่าต่างจากคนอื่นนัก เริ่มจากนิสัยชอบอ่าน
“อ่านทุกอย่างจริงๆ นึกภาพออกใช่ไหม ในยุคที่เราไม่ได้มีเครื่องเล่นวิดีโอทุกบ้าน หนังสือเป็นคำตอบที่ดี จนเมื่อชีวิตได้เดินทางมากขึ้น เราพบว่า เอ๊ย! ชาวบ้านตามตะเข็บชายแดน ชีวิตต่างเราจัง โลกไม่สวยอีกแล้ว ทุ่งลาเวนเดอร์มลายหายทันที ทำไมดูเขามีชีวิตที่ลำบากเหลือเกิน แร้นแค้นและถูกเอาเปรียบ
“ผมโตมากับงานนิยายหรือเรื่องสั้นเพื่อชีวิต สารคดีก็ค่อนข้างหนักๆ เลยลองเขียนดูบ้าง ถ่ายทอดสิ่งที่เราไปสัมผัส เจ็บช้ำ ความคับหมองใจที่ผู้คนตามรายทางมีต่อระบบรัฐในประเทศนี้ ถ้าคุณยังพอมีหัวใจที่เป็นมนุษย์อยู่บ้าง เหล่านี้มันจะเร่งเร้าภายในเองว่าคุณต้องเขียนต้องเล่ามันออกมา”
เขาพูดถึงหนังสือ “ร้านหนังสือแมวฮกเกี้ยน” ของตัวเองว่า
“เป็นรวมเรื่องสั้นในรอบห้าปีของผม จนตอนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่ามันดีไหม เขียนบำบัดตัวเองทั้งนั้น ทั้งเรื่องพ่อ ครอบครัว การเมือง ประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เราอ่านพบ สงคราม ความรุนแรง กระทั่งเรื่องผู้หญิง หัวใจบอบช้ำสลายน่ะใช่ แต่เราจะพูดเรื่องนี้ตรงๆ ได้หรือ ใครจะอ่าน ผมเป็นคนที่มีคลังภาษาน้อย ฉะนั้นคนอ่านจะเห็นได้ชัดเลยในเล่มนี้ว่าผมเอาวิธีการเข้ามาช่วย เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ผมอยากบอก หรืออย่างเรื่องการเมือง คุณพูดให้ตายในโซเชียลไม่มีใครฟังคุณหรอก นอกจากคนที่มีธงการเมืองอยู่แล้วในใจ เราก็เอาเรื่องสั้นมารับใช้ความคิดเรา มันแนบเนียนกว่าไปตะโกนในที่สาธารณะแบบนั้น
“เอาการเดินทางมารับใช้ในงานเขียนเพื่อปัดเป่าสิ่งตกค้างในตัวเอง หนังสือเล่มนี้คงไม่น่าเบื่อนัก มีพื้นที่ของเรื่องกระจัดกระจายกันไปตามสถานที่ต่างๆ มีมิติกาลเวลาเหลื่อมซ้อนกันในบางเรื่อง แนะนำว่า 2-3 เรื่องควรตั้งใจอ่าน มันยาวเกินมาตรฐานเรื่องสั้นทั่วไป เรียกร้องสมาธิพอสมควร”
นฤพนธ์ เปิดใจว่า เขาคาดหวังกับหนังสือเล่มนี้อยู่พอควรว่า จะได้รับการตอบรับจากนักอ่านในด้านบวก
“ค่อนข้างไปทางคาดหวังมาก ระยะเวลาห้าปีนั้นนานพอดู คณะบรรณาธิการใช้เวลาแก้ ถอด รื้อตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา พวกเขาทำงานหนักมาก นักเขียนจะมีอะไรเศร้ากว่าการที่หนังสือออกมาแล้วไม่มีใครพูดถึง เงียบหาย ชีวิตคงวังเวงน่าดู นักเขียนก็แบบนี้ล่ะ มีความทะยานอยากที่จะพามันไปพบคนอ่าน
“ส่วนเรื่องคนอ่านจะเข้าใจสิ่งที่เราเสนอไปไหมก็คงขึ้นอยู่กับว่า สิ่งที่เราเขียนกับสิ่งที่เขาคิดเดินมาบรรจบที่ตรงกลางหรือเปล่า ถ้าลงตัวพอดีก็ถือว่าประสบความสำเร็จ มีคนพูดให้ฟังบ้างในส่วนที่เขาไม่ชอบ ผมก็ครับๆ คุณเป็นนักเขียนจะไปทำอะไรได้ดีกว่าฟัง ใครอ่านจบก็นึกขอบคุณทั้งนั้น ชีวิตแต่ละคนมีไม่มากหรอก หนังสือผมไปขโมยเวลาในชีวิตเขาหลายวัน ควรขอบคุณ”
สุดท้าย เขาย้ำว่า หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญ
“อายุจะสี่สิบแล้ว ควรมีชิ้นงานที่ให้ความรู้สึกว่า นี่ไงการงานแห่งชีวิต เสมือนเป็นอนุสาวรีย์ของตัวเอง”


