วังเก่าเล่าใหม่
เคยสงสัยมาเสมอว่า ในยุคสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยยังมียศชั้นบรรดาศักดิ์ เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน อยู่มากมายนั้น
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เคยสงสัยมาเสมอว่า ในยุคสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยยังมียศชั้นบรรดาศักดิ์ เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน อยู่มากมายนั้น แต่ละพระองค์ท่านก็ล้วนมีวังที่ประทับด้วยกันทั้งสิ้น แต่เมื่อเวลาผันผ่านบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีบ้านเรือนประชาชนสร้างขึ้นอยู่มากมาย วังของพระองค์ท่านที่เคยสร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมืองเหล่านั้นหายไปไหน
จนกระทั่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ ได้พาทัศนศึกษาชมวังโบราณที่น่าสนใจ ถึงได้รู้ว่าบางอาคารริมถนนพระอาทิตย์ ริมถนนราชดำเนิน หรือแม้ที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ ที่เราเห็นจนชินตา แท้จริงแล้วเคยเป็นวังของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาก่อน เช่น วังปารุสกวัน ที่ตั้งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เดิมทีวังนี้เป็นวังในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินนอก เป็นตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ออกแบบโดยมาริโอ ตามมานโญ
วังนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มเฟื่องฟู เปลี่ยนแบบจากการใช้สถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก มาเป็นแบบสถาปัตยกรรมสมัยเรอเนสซองซ์ของโปรตุเกสที่มีความวิจิตรงดงามมากขึ้น
อย่างไรก็ดี วังนี้เป็นวังที่สร้างขึ้นคู่กับพระตำหนักจิตรลดาของเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วังนี้ตกเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และมาอยู่ในความดูแลของสำนักข่าวกรองแห่งชาติในที่สุด
แต่ยังมีอีก 2 วังริมถนนพระอาทิตย์ที่หลบซ่อนสายตาผู้คน ก็คือ วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (วังถนนพระอาทิตย์) ตั้งอยู่ริมถนนพระอาทิตย์ ฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันเป็นที่ทำการขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นวังขนาดเล็กสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 6 สร้างภายหลังการรื้อกำแพงเมืองและทุบป้อมอิสินธร และอีกวังที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันก็คือ วังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (ต้นราชสกุล “สวัสดิวัตน์”) ตั้งอยู่ริมถนนพระอาทิตย์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก โครงสร้างใช้ผนังรับน้ำหนัก ตามแบบสมัยนิยมในยุคนั้น
ปัจจุบันเป็นที่ทำการขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ทั้งสองวังนี้ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก โดยโครงสร้างใช้ผนังรับน้ำหนัก หน้าวังหันไปทางริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นทางสัญจรหลักในสมัยก่อน และที่เราและคนส่วนใหญ่ไม่เห็นทั้งสองวังนี้แม้จะมีอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ก็เพราะจากกำแพงสูงที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อความปลอดภัยของผู้เช่าสำนักงาน แต่ไม่เป็นผลดีในแง่การรักษาโบราณสถานเหล่านี้เท่าไหร่นัก
อรนุช อิ่มอารมณ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานอนุรักษ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บอกว่ากำลังดูว่าจะต้องมีการปรับปรุงอะไรบ้าง เพื่อคงไว้ในการอนุรักษ์โบราณสถาน เพราะวังเหล่านี้มีเรื่องราวการสร้างวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้มากมาย สะท้อนค่านิยม แนวความคิด และสภาพเศรษฐกิจของบ้านเมืองในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี
“ในช่วงที่เศรษฐกิจดีก็สร้างแบบยุคสมัยเรอเนสซองซ์ มีส่วนโค้งแกะสลักลายปูนปั้น แต่ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีรูปแบบการสร้างอาคารก็จะเปลี่ยนไปเป็นแบบนีโอคลาสสิก ที่มีความเรียบง่ายใช้งบประมาณในการสร้างไม่มากนัก
“เมื่อวังเหล่านี้อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปจัดการให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ โดยสิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานี้ คือการบูรณะฟื้นฟูโบราณสถานที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุง ซึ่งอาจจะมากพอๆ กับการสร้างใหม่ทั้งหลัง แต่การสร้างใหม่สิ่งที่จะไม่ได้ก็คือคุณค่าทางประวัติศาสตร์จะสูญหายไปทันที ไม่มีสิ่งที่ให้ลูกหลานได้เข้ามาศึกษาภายหลัง
“แต่การจะบูรณะซ่อมแซมนั้นก็ต้องดูว่ามีความจำเป็นต้องซ่อมแซมในระดับใด บางวังนั้นมีการทรุดตัวของอาคาร และการเสื่อมสภาพของโครงหลังคาและผนังอยู่บ้าง แต่ถ้าอาการชำรุดนั้นไม่หนักมาก ก็จะดูแลให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ไม่ถึงกับซ่อมใหญ่ทั้งหมด”
อรนุช ขยายความว่า มีอยู่วังหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่และสร้างความประหลาดใจให้กับนักประวัติศาสตร์ได้ทึ่ง ก็คือ วังมะลิวัลย์ ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ สร้างขึ้นช่วงปลายรัชกาลที่ 5
“เดิมทีอยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกันกับวังถนนพระอาทิตย์ วังนี้มีปัญหาการทรุดตัวทั้งสองด้านจนไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อนุมัติการบูรณะซ่อมแซม ด้วยการยกอาคารซ่อมฐานรากและบูรณะภายในใหม่ทั้งหมดก็พบว่า วังมะลิวัลย์นี้สร้างทับป้อมอิสินธรเดิม จนกลายเป็นงานโบราณคดีที่ต้องให้กรมศิลปากรเข้ามาสำรวจเพิ่มเติม
“ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อรื้อหลังคาวังก็พบว่าบริเวณห้องใต้หลังคามีเครื่องรับส่งวิทยุและเสาอากาศตั้งอยู่ มีเตียงนอนใช้เป็นที่พัก จึงมั่นใจได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นศูนย์บัญชาการลับใต้ดินของขบวนการเสรีไทย และเป็นโรงเรียนสืบราชการลับ ในสมัยของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชกาลที่ 8 กรมหมื่นอนุวัตร จาตุรนต์ ในช่วง พ.ศ. 2478-2488”
สำหรับในแง่งานก่อสร้างเดิม อรนุช ชี้แจงให้เห็นภาพว่าที่สถาปนิกผู้รับเหมาเข้าใจว่าผนังน่าจะเป็นแบบผนังรับน้ำหนักเช่นเดียวกับวังอื่นๆ ที่สร้างในยุคสมัยเดียวกัน แต่เมื่อเจาะเข้าไปแล้วกลับพบว่าเป็นผนัง 2 ชั้น มีการเว้นช่องว่างตรงกลางเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้ามาภายใน แบบเดียวกับการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการเดินระบบสายไฟฝังผนังและระบบประปาภายในบ้านที่เรียกได้ว่าทันสมัยอย่างมากเมื่อ 100 ปีที่แล้ว
“การอนุรักษ์วังโบราณเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือการคงไว้ซึ่งโครงสร้างของอาคารหลัก ซึ่งเราต้องเริ่มต้นจากการพูดคุยให้กับผู้เช่าเห็นความสำคัญของอาคารโบราณสถาน ปัญหาที่ผ่านมาเราพบว่าผู้เช่ามีการดัดแปลง ต่อเติม ติดตั้ง ปรับปรุงอาคารโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการดูแลอาคารโบราณสถาน เพราะขาดความรู้และแหล่งซื้อ เนื่องจากเป็นของเก่าที่ไม่มีการผลิตแล้ว ก็ต้องหาของใหม่เข้าไปทดแทน ทำให้อาคารมีความเสื่อมโทรมแล้วมีปัญหาอย่างอื่นตามมามากมายภายหลัง
“ซึ่งปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนก็คือเนื้อเรื่องของผิวปูนด้านนอกของอาคารมีการหลุดล่อน มีการนำซีเมนต์สมัยใหม่เข้าไปปิดทับ ซึ่งการทำแบบนั้นไม่ใช่การบูรณะที่ดี เพราะว่าอาคารโบราณสถานเหล่านี้มีการใช้ปูนหมัก ซึ่งเป็นการทำปูนแบบโบราณมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษาโครงสร้างอาคาร
“อย่างเช่นวังมะลิวัลย์ที่เข้ามาปรับปรุงซ่อมแซม ก็ทำให้พบว่าตัววังนั้นมีการชำรุดทรุดโทรมไปหลายอย่าง อันเนื่องจากเกิดจากการใช้งาน เช่น บริเวณห้องที่ใช้เป็นที่รับเวลาเสด็จกลับ ก็กลายเป็นห้องฟิตเนส ซึ่งก็จะมีเครื่องออกกำลังกายที่มีน้ำหนักมากระหว่างกดทับบริเวณพื้นที่นั้น ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอาคารทรุดตัวลงหนักกว่าเดิม มีปัญหาเรื่องกระจกอายุร้อยกว่าปีแตกร้าว เพราะว่าคนที่เข้ามาเช่าอยู่ ในส่วนของกลอนประตูชำรุด เราก็จะใช้กลอนที่มีลักษณะแบบเดียวกันใช้วัสดุแบบเดียวกัน แต่พื้นผิวอาจจะคนละพื้นผิวนำมาใช้ทดแทน เพื่อเป็นการบอกความแตกต่างของวัสดุสมัยใหม่และสมัยเก่า
อรนุช สรุปว่า หลังจากที่ทำการซ่อมแซมบูรณะเสร็จทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการพูดคุยกับผู้เช่า โดยร่างกำหนดการใช้งานอย่างชัดเจนว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้างภายในอาคาร ใช้เป็นสำนักงานได้ แต่ห้ามมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ต่อเติม แม้กระทั่งการเดินสายไฟใหม่ก็ต้องห้ามทำเช่นกัน สามารถทำได้เพียงแค่การต่อพ่วงปลั๊กไฟเพื่อใช้ภายในสำนักงาน
กิตติพันธ์ พานสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เสริมว่า เดิมทีกรมศิลปากรเวลาบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมนั้น จะต้องยึดของเดิมทั้งหมด ห้ามนำของใหม่เข้ามาใส่ แต่เวลานี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงแนวคิดไปบ้าง หากเป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญอย่างสูงเราจะยอมผ่อนผันให้ไม่ได้เลย
“แต่ถ้าเป็นโบราณสถานอย่างวังหรือตึกแถวตลาดท่าเตียน ท่าช้าง และหน้าพระลาน ที่มีผู้เช่าผู้อยู่อาศัย หากซ่อมแซมโดยเอาของเดิมมาใส่ เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการร้าวเกิดการชำรุด ผู้เช่าจะไม่สามารถหาวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นแบบของเดิมเข้ามาซ่อมแซมได้เลย กลายเป็นปัญหาที่ทำให้การคงไว้ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้ไม่สามารถอยู่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน ยอมให้นำของใหม่เข้าไปใช้ทดแทนของเดิมเป็นวัสดุที่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด เพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา”
กิตติพันธ์ บอกว่าเมื่อกลับมาดูแลแค่ภาพรวมภายนอกจะต้องคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ส่วนภายในนั้นเป็นเรื่องของผู้เช่าที่จะเข้ามาดูแลว่าเขาจะปรับปรุงต่อเติมเปลี่ยนแปลงภายในอย่างไร?
“ก็เป็นเรื่องที่เขาสามารถทำได้ เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นโบราณสถานที่สวยงามแข็งแรงแล้วก็อยู่ยืนยงให้ได้มากที่สุด บางครั้งเราต้องยอมเสียเพื่อให้ได้สิ่งที่มากกว่า ก็คือการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์โบราณสถานเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันยังมีอีกหลายวังที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
วังรอบกรุงที่คุณอาจไม่รู้ว่าเป็นวัง
พระตำหนักปลายเนิน (วังคลองเตย) ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 4 เป็นพระตำหนักของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
เวลานั้นพระองค์โปรดให้ซื้อเรือนไทยอย่างโบราณ เพื่อสร้างเป็นพระตำหนักที่ประทับในสมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของทายาทในราชสกุลจิตรพงศ์ และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์พระตำหนักปลายเนินแก่ผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชม อนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อทรงดนตรีไทย ณ พระตำหนักนี้อยู่เป็นประจำ
วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ตั้งอยู่ริมถนนนครไชยศรีฝั่งใต้ ใกล้ท่าน้ำสามเสน สร้างในปีสมัยรัชกาลที่ 5 ออกแบบสไตล์นีโอคลาสสิก มีความเรียบง่ายสูงโปร่ง มีช่องระบายลมและการตกแต่งแบบอาร์ต นูโว
วังบางพลู ตั้งอยู่เชิงสะพานกรุงธนบุรี ฝั่งธนบุรี ติดกับโรงแรมริเวอร์ไซด์ เป็นวังของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพร้อมพงศ์อธิราช
ใช้สถาปัตยกรรมใน 3 ยุคสมัย คือ ตำหนักทรงไทยครั้งรัชกาลที่ 4 มีตำหนักไม้ฉลุแบบวิกตอเรียนในสมัยรัชกาลที่ 5 และเรือนขนมปังขิง (Ginger Bread) ในสมัยรัชกาลที่ 6 และยังคงเป็นที่อยู่ของทายาทในราชสกุลสนิทวงศ์
วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชา ปัจจุบันเป็นร้านกาแฟพรรคชาติไทยพัฒนา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่พระองค์ท่านไม่ได้เสด็จมาประทับ จึงยกให้เป็นของ โรงเรียนขัตติยาณีผดุง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอัพภันตรีผดุง)
วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยาลังการ ตั้งอยู่ในโรงเรียนพันธะวัฒนา สร้างในลักษณะเรือนคหบดีทั่วไปที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 6


