สูงวัยอย่างมีคุณค่า จ้างงานคนชราอย่างเต็มคุณภาพ
ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป อาจจะดูเป็นคำที่มีความหมายในเชิงหดหู่อยู่ในที สำหรับคนที่ยังต้องกัดฟันทำงาน
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์, พริบพันดาว
ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป อาจจะดูเป็นคำที่มีความหมายในเชิงหดหู่อยู่ในที สำหรับคนที่ยังต้องกัดฟันทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้สูงวัย
แต่ปัจจุบันทุกอย่างดูเหมือนกลับกัน ผู้สูงอายุจำนวนมากกลับมีพลังชีวิตและร่างกายที่แข็งแรงและมีจำนวนที่มากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะสังคมไทยที่จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ
สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ในปี 2564 จากที่มีสัดส่วนคนอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 10% เมื่อปี 2543 (ตามนิยามองค์การสหประชาชาติ) และคาดจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) คือมากถึง 30% ในอีก 20 ปี หรือปี 2578
ปัจจุบัน กฎหมายเรื่องการจ้างผู้สูงอายุ และนำไปลดหย่อนภาษีได้มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาประกาศยกเว้นภาษีให้นายจ้างที่รับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทำงาน เท่ากับค่าจ้างที่ใช้จ่ายผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความตื่นตัวให้หลายบริษัทรับคนวัยเกษียณเข้าทำงาน
ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีเงินได้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่รับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าทำงาน เท่ากับรายจ่ายที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุ โดยการจ้างผู้สูงอายุจะต้องไม่เกิน 10% ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2559 เป็นต้นไป โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
กรณีที่ผู้สูงอายุทํางานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่งในเวลาเดียวกัน ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้สูงอายุเข้าทํางานก่อนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าว
นอกจากนี้ รายจ่ายในการจ้างผู้สูงอายุต้องไม่เกินกว่า 1.5 หมื่นบาท/เดือน โดยผู้สูงอายุจะต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทนั้นอยู่แล้ว หรือได้ขึ้นทะเบียนหางานไว้กับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และจะต้องไม่เป็นหรือไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้าง หรือบริษัทในเครือเดียวกัน
ว่าด้วยผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุ หมายถึง วัยชรา บุคคลทั้งเพศชายและเพศหญิง หรือมนุษย์ที่มีอายุอยู่ในช่วงปลายของชีวิต ผู้สูงอายุคือวัยที่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป เป็นประชากรซึ่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว กล่าวคือเป็นแหล่งความรู้ ความชำนาญที่มีคุณค่า เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งประเพณี วัฒนธรรม และเป็นสายใยแห่งครอบครัว เชื่อมต่อระหว่างบุคคลในช่วงวัยต่างๆ แต่ขณะเดียวกัน มีปัญหาในด้านสุขภาพ อนามัย ปัญหาด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าวัยอื่นๆ
ในด้านสังคม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ ต้องพึ่งพาเป็นภาระทั้งต่อตนเอง ครอบ ครัว สังคม และประเทศชาติ ทั้งด้านสุขภาพ การเงิน ความเสื่อมจากเซลล์สมอง การขาดแคลนคนดูแล คนเข้าใจ และแรงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุมักมีอาการซึมเศร้าได้ง่าย ดังนั้น ถ้าไม่ตระหนักถึงข้อดี ถึงปัญหาของผู้สูงอายุ และให้การดูแลอย่างถูกต้อง ผู้สูงอายุจะกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงของประเทศชาติในทุกด้าน
ปี 2525 องค์การสหประชาชาติ ได้จัดประชุมครั้งแรกในแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และในปี 2541 ได้จัดประชุมที่เมืองมาเก๊า ประเทศจีน และได้ออกปฏิญญามาเก๊าในเรื่องผู้สูงอายุในเอเชียและแปซิฟิก เพื่อให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ รับรองสิทธิ และดำเนินการในเรื่องเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ โดยอยู่บนพื้นฐานของการมีอิสระ การมีส่วนร่วม การได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความพึงพอใจ และมีศักดิ์ศรีในตนเอง
ในปี 2542 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นปีสากลของผู้สูงอายุ และเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิญญาผู้สูงอายุมาเก๊า ผู้แทนจากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรผู้สูงอายุ และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมกันจัดทำปฏิญญาผู้สูงอายุไทยขึ้น เพื่อให้ถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้สูงอายุไทย และทัดเทียมกับคนในทุกวัย โดยประกาศเป็นปฏิญญาผู้สูงอายุไทยเมื่อ 23 มี.ค. 2542 ซึ่งปฏิญญาผู้สูงอายุไทยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ มี 3 ประการ คือด้านมนุษยธรรม ด้านการศึกษา และด้านการพัฒนา ทั้งหมด 9 ข้อ โดยสรุป คือ
1.เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี
2.การยอมรับได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
3.การมีโอกาสได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องตามความต้องการ เพื่อการพัฒนาศักยภาพ
4.มีโอกาสได้ทำงานถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยได้รับค่าตอบแทน
5.มีโอกาสได้เรียนรู้การดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง และได้รับหลักประกันในการบริการด้านสุขภาพ
6.ได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในครอบครัวและสังคม
7.รัฐ และองค์กรต่างๆ ต้องดำเนินการในการจัดการดูแลผู้สูงอายุให้เป็นไปตามเป้าหมายรัฐ และประชาคมโลก
8.ต้องมีกฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้สูงอายุในด้านต่างๆ
9.รัฐและสังคมต้องรณรงค์ และปลูกฝังค่านิยมให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุ
สูงวัยใจสู้ อยู่อย่างมีคุณภาพ
ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์และประมาณประชากรในปี 2583 ว่า จำนวนผู้สูงอายุในช่วงวัย 60-69 ปี จะเพิ่มสูงขึ้น 14% ช่วงวัย 70-79 ปี เพิ่มขึ้น 12% และช่วงอายุ 80-89 ปี เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นนอกจากการเตรียมพร้อมสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว การพัฒนาผู้สูงอายุให้มีศักยภาพสามารถพึ่งพิงตนเองได้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน
เนื่องจากปัจจุบันประชากรอายุ 60 ปี ในประเทศไทย มีจำนวนกว่า 10% ของประชากรโดยรวม และใน 6 ปีข้างหน้า สังคมไทยจะมีผู้สูงวัย 20% ของประชากร เรื่องนี้อาจารย์ไตรรัตน์เปรียบเปรยให้เห็นว่า จากปี 2544-2566 ตัวเลขผู้สูงวัยจะเปลี่ยนจาก 10% เป็น 20% หากคำนวณคร่าวๆ จากประชากร 70 ล้านคน ปี 2566 สังคมไทยก็จะมีผู้สูงอายุประมาณ14 ล้านคน
ในอีก 4 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 20% จากจำนวนประชากรทั้งหมด ส่งผลให้อัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุ 1 คนต่อวัยแรงงาน 3.2 คน และปัจจุบันยังพบช่องว่างในการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยเฉพาะหลักประกันรายได้ยามเกษียณอายุ ที่พบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หรือรายได้ต่ำกว่า 2,647 บาท/เดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
โจทย์ใหญ่ที่จะตามมาคือ แรงงานไทย 63% ที่ไม่อยู่ในระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ยามเกษียณ และยังพบกับดักมนุษย์เงินเดือน โดยรายจ่ายของมนุษย์เงินเดือนสูงกว่าเงินสนับสนุนของรัฐขั้นพื้นฐานจากประกันสังคมและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเมื่อเกษียณ อยู่ที่ 8,100 บาท/เดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต
รศ.ดร.วิพรรณ ประจวบเหมาะ คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนาเกี่ยวกับการสร้างงานให้กับผู้สูงอายุว่า การส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุมีแต่ได้กับได้ กล่าวคือ เป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงด้านรายได้ให้กับผู้สูงอายุ เพิ่มการอยู่ดีมีสุข ซึ่งเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญ
“อีกทั้งยังเพิ่มบทบาทและคุณค่าของผู้สูงอายุด้วยการมีส่วนร่วมเชิงเศรษฐกิจ และในแง่การทดแทนประชากรในวัยแรงงานที่มีแนวโน้มถดถอยลงด้วย แต่ในแง่ผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับการจ้างงาน เพราะมองว่าไม่คุ้มทุนหากเทียบกับจ้างคนในวัยแรงงาน
"แต่ผลการวิจัยพบว่า สามารถสร้างเงื่อนไขและหางานที่เหมาะสมกับวัยได้ รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำต้องส่งเสริมการจ้างงานให้กับผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัย ประสบการณ์ และสมรรถภาพทางร่างกาย รวมถึงสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการทำงานของผู้สูงอายุ และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพึ่งพาตนเอง”
การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย เกิดขึ้นพร้อมๆ กับแนวโน้มการขาดแคลนของแรงงานในอนาคต การขยายอายุการจ้างงานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแรงงานสูงวัยที่มีศักยภาพและมีประสบการณ์ถือเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
กรณีตัวอย่าง "เซ็นทารา" บุกเบิกจ้างแรงงานสูงวัย
การรับผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไปเข้าทำงาน เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ยกเว้นภาษีเงินได้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษี โดยการจ้างผู้สูงอายุจะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด
รัฐบาลประกาศมาตรการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุออกมาเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นสัญญาณของการรองรับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไปสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนประชากรสูงอายุมากกว่าวัยทำงาน อย่างไรก็ตามก่อนที่รัฐบาลจะประกาศนโยบายออกมาก็มีบางบริษัทที่จ้างผู้สูงอายุนำหน้านโยบายไปเรียบร้อยแล้ว เช่น โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ถือเป็นองค์กรที่ค่อนข้างโดดเด่นด้านการจ้างผู้สูงอายุทำงานช่วงที่ผ่านมา
ภัทรา จองเจริญกุลชัย รองประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เล่าให้ฟังว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา จ้างงานผู้สูงอายุมาเรื่อยๆ ก่อนที่รัฐบาลจะมีแนวคิดออกมาตรการส่งเสริม โดยได้จ้างงานทั้งผู้สูงอายุที่เป็นพนักงานทำงานกับบริษัทอยู่แล้ว และต่อสัญญาเมื่อถึงวัยเกษียณที่อายุ 55 ปีบริบูรณ์ รวมถึงการรับผู้สูงอายุที่เข้ามาสมัครทำงานแบบพาร์ทไทม์
“ทั้งนี้ เซ็นทาราจะพิจารณาจากศักยภาพและความสามารถด้านการทำงานของแต่ละคน รวมถึงลักษณะงาน เพราะการจ้างงานผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ ต้องยืดหยุ่นด้านเวลาเพื่อให้ผู้สูงอายุพักผ่อนได้เพียงพอ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี จะได้เตรียมพร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสดใสในแต่ละวัน”
สำหรับข้อดีของการจ้างผู้สูงอายุนั้น ภัทรา ระบุว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่เซ็นทาราจ้างล้วนเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์และความสามารถในสายงานที่ทำอยู่ บางคนปฏิบัติหน้าที่มาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ก่อนวัยเกษียณ บางคนมีทักษะเชี่ยวชาญจนถึงขั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้างานมาแล้ว จึงใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทำงานได้ดี รวมถึงใช้วิจารณญาณตัดสินใจเรื่องที่ซับซ้อนได้ดีเมื่อเทียบกับวัยอื่นๆ
“แน่นอนว่า พนักงานวัยเกษียณของโรงแรมอาจไม่ได้มีสุขภาพสมบูรณ์เต็มที่ หรือมีกำลังวังชาทำงานที่ต้องใช้แรงงานขนถ่ายหรือยกของหนักเท่าคนหนุ่มสาว แต่พนักงานผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานมากกว่า จะตัดสินใจรอบคอบด้วยประสบการณ์ที่สูงกว่า
“ที่สำคัญยังแนะนำวิธีการทำงานให้ทีมอย่างตรงจุด มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ของแขกผู้เข้าพักของโรงแรมได้ดี สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีกว่าพนักงานอายุน้อยๆ ทำให้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นคลี่คลายไปได้เร็วและมีประสิทธิภาพ”
นอกจากนั้น ข้อดีอีกอย่างหลังจากโรงแรมต่อสัญญาจ้างงานพนักงานในวัยเกษียณหรือรับผู้สูงอายุเข้ามาทำงาน ภัทรา ชี้ว่าช่วยทำให้ลดปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางสาขา ที่หาแรงงานที่มีทักษะเพียงพอได้ยาก ที่สำคัญการจ้างผู้สูงอายุยังช่วยองค์กรเรื่องการเสริมจุดแข็งด้านการส่งต่อความรู้ ความเชี่ยวชาญและทักษะการทำงานให้พนักงานรุ่นหลัง
อีกทั้งผู้สูงอายุที่ทำงานมานานมีใจรักงานบริการและมีความผูกพันแน่นแฟ้นกับองค์กร ในแง่ทรัพยากรบุคคลจึงถือว่าจุดนี้เป็นประโยชน์สำคัญต่อบริษัทในการเสริมรากฐานด้านบุคลากรและแรงงานสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ในส่วนการปฏิบัติการของโรงแรม พนักงานวัยเกษียณส่วนใหญ่จะสามารถดูแลแขกผู้เข้าพักที่กลับมาเยือนบ่อยๆ หรือเข้าพักแบบนานๆ (ลอง สเตย์) ได้อย่างดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแขกและจดจำรายละเอียดเล็กน้อยที่ช่วยสร้างความประทับใจให้แขกที่มาพักได้ เช่น ชอบทานอาหารอะไร ดื่มเครื่องดื่มอะไร พักห้องประเภทใด”
ตัวอย่างผู้สูงอายุที่เซ็นทาราจ้าง เช่น ประไพ ฤทธิยา อายุ 72 ปี ตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าแม่ครัวโรงอาหารสวัสดิการพนักงาน โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ทำงานในสายงานครัวกับโรงแรมเซ็นทารามาเป็นเวลากว่า 30 ปี ได้รับการต่อสัญญาจ้างงานเป็นพนักงานประจำหลังอายุครบวัยเกษียณเรื่อยมา
ระจิต โภคสมบูรณ์ อายุ 63 ปี ผู้อำนวยการแผนกแม่บ้าน โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเกษียณงานมาจากโรงแรมในเครืออื่น แต่พอทราบข่าวว่าทางเซ็นทารารับพนักงานสูงอายุที่มีประสบการณ์และยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงมาสมัครและได้รับตำแหน่งผู้บริหารในสายงานแม่บ้าน เนื่องจากมีประสบการณ์ทำงานอันโชกโชนในวงการโรงแรมห้าดาวที่สั่งสมมากว่าค่อนชีวิต ขณะที่ปัจจุบันมีอายุงานที่โรงแรมเซ็นทารา 3 ปีครึ่งแล้ว
นอกจากนี้ยังมี พล เจริญพงศ์ อายุ 59 ปี เป็นพนักงานโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน ตำแหน่งผู้จัดการลูกค้าสัมพันธ์ ฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นปีที่ 4 ในการทำงานในตำแหน่งเดิม หลังจากลุงพลถึงวัยเกษียณที่นี่ และได้ต่อสัญญาให้เวลาทำงานยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
โดย พล ทำงานที่นี่ตั้งแต่โรงแรมยังเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย จนโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ซึ่งที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน ปัจจุบันมีพนักงานที่ต่อสัญญาหลังวัยเกษียณทำงานอยู่ถึง 11 คน เริ่มจ้างพนักงานวัยเกษียณมาตั้งแต่ปี 2553
เมื่อพูดถึงเรื่องค่าตอบแทนที่ให้กับผู้สูงอายุที่จ้างนั้น ภัทรา กล่าวว่า เซ็นทาราจะปรับเพิ่มเงินเดือนตามอัตราของแต่ละปี ให้โบนัสและสวัสดิการต่างๆ เหมือนตอนที่ยังเป็นพนักงานปกติ ไม่มีการเอาเปรียบพนักงาน ซึ่งถือเป็นการแสดงให้พนักงานทุกคนตระหนักในคุณค่าของแรงงานผู้สูงอายุ
“ผู้สูงอายุมีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพร่างกาย ในสายงานบางประเภทที่ต้องใช้กำลังกายยกของหรือแบกหาม โรงแรมต้องคอยดูแลอย่างระมัดระวังไม่ให้ทำสิ่งที่เกินกำลังผู้สูงอายุ งานที่ทำได้จะเป็นงานออฟฟิศทั่วไป งานขับรถ งานด้านคำนวณ ด้านภาษาหรือทำเอกสารต่างๆ รวมถึงงานบริการหรืองานแม่บ้านที่ไม่ต้องยกของหนัก
“นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจพนักงานวัยเกษียณเรื่องของความยืดหยุ่นด้านเวลาทำงาน สามารถตกลงให้เข้ามาทำงานแบบพาร์ตไทม์หรือกำหนดชั่วโมงทำงานที่สั้นลงกว่าปกติได้ และอนุโลมผ่อนผันให้ลางานไปตรวจหรือรักษาสุขภาพได้ในยามที่จำเป็น”
ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราทั่วประเทศ จ้างงานผู้สูงอายุพ้นวัยเกษียณ คือมากกว่า 55 ปีแล้ว 121 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีกว่า 8,500 คน ซึ่งหลังรัฐบาลออกนโยบายสนับสนุนจ้างแรงงานสูงอายุออกมา เซ็นทาราก็คงยืนหยัดต่อสัญญาพนักงานวัยเกษียณและเปิดรับสมัครแรงงานสูงวัยอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ตลาดแรงงานเองก็น่าจะขานรับนโยบายนี้อย่างดี เพราะตลาดแรงงานในภาพรวมกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะอย่างในธุรกิจโรงแรมที่ต้องการแรงงานที่มีประสบการณ์ ความรู้ความเชี่ยวชาญมาทำงาน
ภัทรา สรุปว่า ผู้สูงอายุสามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้พนักงานใหม่ได้จากประสบการณ์ตรง เปรียบเสมือนเป็นครูที่ในบางครั้ง แม้แต่ในส่วนฝึกอบรมของบริษัทก็ไม่สามารถชี้แนะได้ดีเท่ากับกลุ่มคนเหล่านี้ จึงถือเป็นกลุ่มบุคลากรที่มีคุณค่ามากสำหรับบริษัทและตลาดแรงงานที่มีทักษะพิเศษ
ดังนั้น นอกจากประโยชน์ด้านภาษีที่รัฐบาลให้เพิ่มกับบริษัทที่จ้างงานผู้สูงอายุ ตลาดแรงงานยังได้ประโยชน์ทางตรงด้านการลดปัญหาขาดแคลนแรงงานด้วย
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น ที่มีโครงการ "อายุ 60 ปี มีไฟในการทำงาน" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จะมากกว่า 60 ปีก็ได้ เข้ามาเป็นพนักงานร้านหนังสือ ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์
โดยในขณะนี้ ร้านหนังสือซีเอ็ด มีพนักงานผู้สูงอายุ 40-50 คน จากพนักงานทั้งหมด 3,000 คน ส่วนใหญ่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตั้งเป้าจะรับพนักงานที่เป็นผู้สูงอายุ ให้ได้ 1 ใน 3 ของพนักงานทั้งหมด หรือประมาณ 800-1,000 คน ภายในปีนี้ ถือเป็นการสนองนโยบายรัฐในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด
โดยผู้สมัครต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป จบการศึกษาไม่ต่ำกว่า ม.3 มีใจรักงานบริการ เลือกวันทำงานได้ รายได้วันละ 300 บาท ไม่รวมค่าล่วงเวลาและสวัสดิการ มีประสบการณ์ ถ่ายทอดความรู้ได้ ตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ เห็นคุณค่าของหนังสือที่มีในผู้สูงอายุมากกว่าคนรุ่นใหม่ คือเหตุผลหลักที่ทำให้รับเข้าทำงาน นอกจากแรงจูงใจเรื่องภาษีที่กำหนดไว้ สามารถหักภาษีได้เท่ากับค่าจ้างที่ใช้จ่าย พนักงานผู้สูงวัย แต่จำนวนที่จ้างต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพนักงานทั้งหมด
ในปี 2573 ซึ่งมีผู้สูงอายุ มากกว่า 30% ของประชากรทั้งหมด เมื่อเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุที่มีมากมายต่อตลาดแรงงานเช่นนี้แล้ว ก็อยากให้บริษัทและภาคส่วนต่างๆ ในประเทศเปิดใจหันมาให้โอกาสผู้สูงอายุกลับเข้ามาทำงานเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป
เพราะการจ้างงานเป็นการสร้างรายได้ให้กับแรงงานสูงวัย ช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ลดภาระและการพึ่งพิงครอบครัว และสังคมได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมให้ประชากรที่ใกล้เข้าสู่วัยสูงอายุมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ และเป็นพลังของสังคมได้ยาวนานที่สุด


