ไปขอโทษโยมเดี๋ยวนี้
คนเราเมื่อจิตเป็นอกุศลก็คิดจะทำแต่เรื่องชั่วๆ พูดแต่เรื่องชั่วๆ หรือเรื่องอกุศล นั่นเอง เหมือนเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
โดย...อารยชล
คนเราเมื่อจิตเป็นอกุศลก็คิดจะทำแต่เรื่องชั่วๆ พูดแต่เรื่องชั่วๆ หรือเรื่องอกุศล นั่นเอง เหมือนเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
ย้อนไปสมัยพระพุทธเจ้า มีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อ “จิตตคหบดี” เป็นชาวเมืองมัจฉิกาสัณฑะ แคว้นมคธ พ่อเป็นเศรษฐี พอพ่อเสียชีวิตก็สืบทอดตำแหน่งเศรษฐีแทน
ก่อนมานับถือศาสนาพุทธท่านได้พบกับพระมหานามะ (หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์) แล้วเกิดประทับใจเลื่อมใสศรัทธาในความสำรวมของพระเถระ จึงนิมนต์ไปฉันที่คฤหาสน์ของตนพร้อมสร้างวัดอัมพาฏการามถวายและนิมนต์ให้อยู่ประจำอีกด้วย
พอได้คบกับพระดีความเป็นคนดีก็ฉายออกมา
พระมหานามะได้แสดงธรรมให้คหบดีฟังอยู่เสมอจนวันหนึ่งก็ได้บรรลุอนาคามิผล หลังจากนั้นก็เอาใจใส่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ จนแตกฉานมีความสามารถในการอธิบายธรรมได้ดีและลึกซึ้ง ซึ่งในเวลาต่อมาคหบดีได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นยอดอุบาสกธรรมกถึก แสดงธรรม อธิบายธรรมได้เป็นเลิศ
กิตติศัพท์หนึ่งของจิตตคหบดีที่ใครก็รู้จักดีคือเป็นคนใจบุญ เคยถวายทานสุดประณีตแด่ภิกษุสงฆ์ติดต่อกันนานครึ่งเดือน ทั้งเคยนำน้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำอ้อย จำนวน 500 เล่มเกวียนไปถวายพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์
พระมหานามะอยู่วัดอัมพาฏการามอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก็จาริกไปที่อื่น จากนั้นก็มีพระมาพำนักอยู่เรื่อยๆ แล้วจาริกไปที่อื่น แต่มีรูปหนึ่งชื่อ “พระสุธรรม” พำนักประจำไม่ได้ไปไหนจนนึกว่าตัวเองเป็น “สมภารวัด” แต่จิตตคหบดีก็อุปถัมภ์บำรุงอย่างดี
สำหรับพระสุธรรมนั้นยังเป็นปุถุชน แต่จิตตคหบดีเป็นพระอนาคามีที่ถือเพศฆราวาส ทว่าก็ยังแสดงความเคารพกราบไหว้พระที่เป็นปุถุชนเพราะเพศบรรพชิตเป็น “ธงชัยพระอรหันต์”
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้ เมื่อพระอัครสาวกทั้งสอง (พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) เดินทางผ่านมา คหบดีจึงนิมนต์ให้ทั้งสองท่านพำนักที่อัมพาฏการามและนิมนต์ฉันเช้าที่บ้านท่านด้วย พอนิมนต์อัครสาวกทั้งสองแล้วก็ไปนิมนต์พระสุธรรมในภายหลัง
พระสุธรรมถือตัวว่าเป็น “เจ้าวัด” และคิดว่าคหบดีเป็นโยมอุปัฏฐาก พอเห็นคหบดีให้ความสำคัญแก่พระอัครสาวกมากกว่าตนจึงไม่ยอมรับนิมนต์ แม้จิตตคหบดีจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่รับ
เอ๊า ไม่รับก็ไม่เป็นไร คหบดีจึงสั่งให้คนตระเตรียมอาหารถวายพระอัครสาวกแต่เช้ามืด แต่พอเช้าๆ หน่อยก่อนที่พระอัครสาวกจะมาถึงบ้านพระสุธรรมก็โผล่หน้าไปถึงก่อนอย่างคนคุ้นเคย ดูโน่นนี่นั่นแล้วพูดขึ้นว่าอาหารที่โยมเตรียมถวายพระพรุ่งนี้ดีทุกอย่าง แต่ขาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่ได้เตรียมถวาย
“ขาดอะไร พระคุณเจ้า” จิตตคหบดีถาม
“ขนมแดกงา!!”
“ขนมแดกงา” ถ้าฟังโดยไม่คิดอะไรมากก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร พระสุธรรมอาจคิดว่าในสำรับน่าจะมีขนมชนิดนี้ แต่การไม่เป็นอย่างนั้นพอคหบดีได้ยินก็รู้ว่าพระสุธรรมเหน็บแนมจึงทำทีออกอาการฉุนแรงเพื่อให้สำนึก (เข้าใจว่าขนมแดกงาในที่นี้น่ามีนัยสำคัญบางอย่างที่อาจเป็นปมด้อยของตระกูลที่ไม่อยากให้ใครพูดถึงก็ได้)
ทว่า พระสุธรรมไม่สำนึกแต่กลับโกรธคหบดีหนีจากวัดไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องจึงตำหนิพระสุธรรมแรงๆ และมีบัญชาให้กลับไปขอขมาหรือขอโทษจิตตคหบดี ภาษาพระเรียกถูกลง “ปฏิสารณียกรรม” (ให้ไปสำนึกผิดและขอโทษ)
ท่านจึงไปขอโทษแต่คหบดีไม่ยอมยกโทษให้ กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอีก คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงให้ภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็น “อนุทูต” พาพระสุธรรมไปขอขมาคหบดี แต่ก่อนส่งไปทรงแสดงธรรมให้พระสุธรรมฟังจนท่านบรรลุพระอรหัต หลังจากนั้นจึงเดินทางไปกับพระอนุทูตเพื่อขอขมาจิตตคหบดี คราวนี้คหบดียกโทษให้
อ้าว...ส่วนใครจะไปขมาใครก็ไปนะ อาตมาไม่เกี่ยว!!


