‘ณัฐวุฒิ งานภิญโญ’ วันว่างกับเสียงใสๆ ของลูกๆ
ชีวิตของพ่อแม่ เสียงที่ทรงพลังและปลุกชีวิตให้แช่มชื่นทุกครั้งเมื่อได้ยิน คือเสียงใสๆ ของลูกๆ
โดย...วารุณี อินวันนา
ชีวิตของพ่อแม่ เสียงที่ทรงพลังและปลุกชีวิตให้แช่มชื่นทุกครั้งเมื่อได้ยิน คือเสียงใสๆ ของลูกๆ ทำให้ความเหนื่อยล้าทางกายและใจจากเรื่องราวต่างๆ นอกบ้าน หายไปเป็นปลิดทิ้ง
เช่นเดียวกับ ณัฐวุฒิ งานภิญโญ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ฟอลคอนประกันภัย วัย 45 ปี คุณพ่อลูกสามที่ขอใช้เวลาว่างจากงานอยู่กับลูกๆ เพื่อเติมเต็มชีวิต แสดงออกถึงความรักที่มีต่อภรรยาและลูก ทำหน้าที่ของพ่อให้สมบูรณ์ที่สุด
ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยความสุขที่ฉายโชนออกมาทางแววตาด้วยความเอ็นดูปนสนุกสนานผ่านรอยยิ้มตลอดเวลาระหว่างเล่าเรื่องลูกว่า ช่วงนี้กลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนอีกครั้ง เพราะลูกชายคนเล็กเพิ่งอายุได้ 5 เดือน ห่างจากลูกสาวคนโตที่อายุได้ 9 ขวบแล้ว และลูกสาวคนรองอายุ 6 ขวบ เวลาว่างจากงานทั้งหมดจึงขอมอบให้กับครอบครัว
“จากการที่ต้องทำงานทั้งวันตั้งแต่เช้าจนถึงทุ่มสองทุ่ม จึงพยายามที่จะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดซึ่งมีไม่มากอยู่กับลูกๆ โดยลูกสาว 2 คนแรกเข้าโรงเรียนแล้ว ผมจะไปส่งเขาไปโรงเรียนเองทุกเช้าเพราะเป็นช่วงเดียวที่เวลาตรงกัน ทำให้มีเวลาพูดคุยกันทุกเรื่อง
“เด็กๆ สมัยนี้จะไม่เก็บเรื่องที่สงสัยไว้ในใจเหมือนรุ่นเรา มีอะไรก็ถาม มีอะไรก็พูดออกมา ทำให้เรารู้ว่าเขาคิดอย่างไร ส่วนตอนเย็นกลับบ้าน ลูกสาวทั้งสองก็หลับแล้ว แต่จะช่วยภรรยาดูแลลูกชายคนเล็กวัย 5 เดือน เช่น การให้นมลูก เพื่อให้ภรรยาได้พักบ้าง”
ณัฐวุฒิ ขยายความคิดว่า การเลี้ยงลูกที่กำลังโตในยุคที่สื่อต่างๆ อยู่ใกล้ตัว ทำให้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ถึงกับนั่งอยู่กับลูกตลอดเวลา จะคอยมองอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้เข้าไปสู่เว็บไซต์ที่ไม่สมควรสำหรับเด็ก เช่น การให้เล่นไอแพด ที่ให้ลูกๆ สนุกสนานกับการเล่นเกมหลายๆ อย่าง หากไม่มีเวลานั่งดูตลอดเวลา ก็ต้องมาคอยตามดูว่าลูกกดไปดูเว็บไซต์อะไรบ้าง
ส่วนการดูโทรทัศน์ก็ต้องปล่อยให้ดู แต่จะมีการจำกัดเวลาและเรื่องราวที่ดูที่เหมาะสมกับวัย อย่างบางรายการหรือการ์ตูน จะไม่ให้นั่งแช่ทั้งวัน
“ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็เรียนรู้บางอย่างจากลูกเช่นเดียวกัน เช่น ลูกสาวจะมีมุมน่ารักๆ กับน้องคนเล็ก พอมาถึงบ้านก็จะวิ่งไปหาน้อง และพูดกับน้องว่า เจ๊กลับมาแล้วนะ และชวนน้องเล่น เป็นการแสดงถึงความใส่ใจและความรักของพี่น้อง”
ณัฐวุฒิ มองว่าเด็กสมัยนี้จะมีความกล้าแสดงออกทุกอย่างในสิ่งที่เขาสงสัย เช่น เรื่องเดียวกัน แต่แม่จะพูดอีกอย่าง และพ่อพูดอีกอย่าง เขาจะถามทันทีว่าทำไมพ่อพูดแบบนี้ และทำไมแม่พูดแบบนี้ หรือบางเรื่องแม่ยอมให้เขาทำ แต่พ่อไม่ยอมให้ทำ
“จะต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า เพราะสถานการณ์ไม่เหมือนกัน หากเรื่องนี้เกิดกับสถานการณ์แบบนี้ จะต้องเป็นอย่างไร เพื่อให้เข้าใจ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง แตกต่างจากรุ่นเรา สมัยที่ยังเป็นเด็ก มีอะไรก็เก็บไว้ในใจ”
ขณะเดียวกัน ณัฐวุฒิ ย้ำว่าก็ต้องดูแลด้านสุขภาพ ทั้งอาหารและปลูกฝังให้ออกกำลังกาย โดยจะพาไปเล่นกีฬาหลายๆ อย่าง แล้วเขาจะเลือกเองในภายหลังว่าชอบอะไร
“ที่เล่นกันเป็นประจำช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีการไดรฟ์กอล์ฟ ปั่นจักรยาน และที่บ่อยมากๆ ก็จะมีว่ายน้ำ และตีแบด เพราะบ้านอยู่ติดกับสระว่ายน้ำของหมู่บ้าน เป็นการเล่นกีฬาเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและความบันเทิง ไม่ได้ถึงขนาดปลูกฝังให้ไปเป็นนักกีฬา”
นอกจากนี้ ณัฐวุฒิ ก็ช่วยภรรยาดูแลเรื่องอาหารของลูกๆ อีกด้วย เขาบอกว่าต้องคอยสังเกต หากช่วงไหนน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากก็ต้องระวังอาหาร เลือกอาหารที่ไม่หวานมากและลดอาหารมัน
“จากการที่เด็กๆ ไม่ชอบกินผักเป็นทุนเดิม ทำให้พ่อแม่ต้องหาวิธีการที่จะให้ลูกๆ กินผักให้ได้ ก็จะลองทำกับข้าวหลายๆ อย่างที่ใส่ผักเข้าไปด้วย และก็พบว่าการต้มจับฉ่ายทำให้ลูกๆ กินผักได้ ส่วนอาหารนอกบ้านที่ทำให้ลูกกินผักได้ก็จะมีชาบู”
ส่วนเรื่องการเข้าสังคม ณัฐวุฒิ ให้ภรรยาหรือแม่ของเด็กๆ เป็นคนแนะนำและคอยสอน เพราะจะมีวิธีการอบรมและให้ความรู้ได้ดีกว่า
“พ่อก็จะเป็นเรื่องของการทำกิจกรรม ออกกำลังกาย และช่วยสอนภาษาอังกฤษ แต่ไม่ถึงกับพูดกันเป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นในเชิงของการทบทวนมากกว่า เพราะทางโรงเรียนเขามีจุดแข็งเรื่องภาษาอังกฤษอยู่แล้ว จะเห็นว่าเด็กๆ ที่จบจากวัฒนาวิทยาลัย พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน”
นี่คือครอบครัวสุขสันต์กับความแจ่มใสและแช่มชื่นของลูกๆ ที่ทำให้พ่อแม่ที่เฝ้าดูพัฒนาการมีความสุขและผ่อนคลาย หลังกรำงานหนักมาทั้งวัน


