ปลูกป่าในใจคน เมล็ดความหวัง ณ เมืองน่าน
จ.น่าน ปรากฏต่อพื้นที่ข่าวมากขึ้นในระยะหลัง ด้วยข่าวการบุกรุกและทำลายป่าต้นน้ำ
โดย...กองทรัพย์ ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
จ.น่าน ปรากฏต่อพื้นที่ข่าวมากขึ้นในระยะหลัง ด้วยข่าวการบุกรุกและทำลายป่าต้นน้ำ การคุกคามพื้นที่ป่าสงวนด้วยไร่ข้าวโพด สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงทำให้ถนนและพลังอนุรักษ์จากหลายภาคส่วนมุ่งสู่น่าน ด้วยปรารถนาจะให้หนึ่งในสี่แม่น้ำสำคัญ ปิง วัง ยม น่าน ที่รวมตัวกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยากำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ได้รับการเหลียวแล และหยุดยั้งการทำลายป่าด้วยไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ในคราที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานและเปิดการสัมมนา “รักษ์ป่าน่าน” ครั้งที่ 3 ณ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.น่าน ทรงบรรยายเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้ทรงอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ไทย” โดยมีความตอนหนึ่งว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสำคัญกับการปลูกป่าในใจคน คือควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...”
ในวิกฤตป่าไม้น่าน บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย บุรุษผู้หลงเสน่ห์ตรึงใจของนันทบุรี ได้กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องซับซ้อนตั้งแต่จุดเริ่มต้น คือการจัดสรรพื้นที่สำหรับให้ประชาชนทำกินไม่ถูกต้องมานานแล้ว และเมื่อระบบทุนนิยมเข้ามา เกษตรกรจึงถูกลากเข้ามา เริ่มทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากปลูกง่าย ขายสะดวก มีการรับซื้ออย่างเป็นระบบครบวงจร
“ข้าวโพดเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนต่ำ พอเริ่มทำแล้วไม่พอ ก็ขยายพื้นที่รุกป่าสงวน ซึ่งระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าสงวนของ จ.น่าน หายไปแล้ว 30% เฉลี่ยปีละ 2 แสนไร่ เพราะอะไรน่านถึงหนีจากข้าวโพดไม่ได้ ไม่ใช่เพราะปลูกพืชอื่นไม่ได้ แต่เพราะพืชอื่นไม่มีตลาดมารองรับ เมื่อคนไม่มีทางออก เขาเหล่านั้นก็เลือกที่จะปลูกข้าวโพดต่อไป”
กระนั้น ก็ใช่ว่าน่านจะไร้ความหวัง เพราะมีกลุ่มคนอนุรักษ์และร่วมถอดบทเรียนคนกับป่าอยู่ร่วมกัน เขาเหล่านี้เรียนรู้จากการสูญเสียจนเกิดต้นแบบชุมชนค้นหาชีวิตใหม่ ป่าชุมชนศิลาแลง สัมฤทธิ์ เนตรทิพย์ กำนัน ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน เล่าว่า ประมาณปี 2518 ศิลาแลงประสบปัญหาภัยพิบัติในแต่ละปี เกิดน้ำไหลหลากอย่างแรง พัดเอาต้นไม้ ขอนไม้ หรือเศษไม้ที่ชาวบ้านตัดและถางป่าสำหรับการทำไร่ทำสวน ทำให้น้ำเปลี่ยนสาย ไร่นาเสียหายทุกปี ฤดูแล้งก็แล้งหนัก
“สถานการณ์นี้เป็นมิติที่คนในชุมชนไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าไม่แก้ คนอยู่ไม่ได้ โจรขโมย เดือดร้อน เพราะฐานการดำรงชีวิตถูกทำลาย ชาวบ้านเริ่มคิดถึงการจัดการป่า นำปรัชญาของในหลวง ร.9 มาปรับใช้-สร้างป่าในใจคน ทำให้ทุกคนมีจิตสำนึก เพราะป่าคือชีวิต ก็มีการคิดในการปรับพฤติกรรมในชุมชน ระยะแรกทำยาก เพราะเขาอยู่มานาน แต่ด้วยจิตสำนึกในสมัยนั้น ก็มาคิดว่า ผู้ใช้น้ำ แก่เหมือง-แก่ฝาย เดือดร้อน เลยนำเอาเรื่องมาหารือ
สำหรับพื้นที่ป่าของ ต.ศิลาแลง มีการแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ป่าอนุรักษ์ เป็นป่าต้นน้ำ ไม่สามารถตัดไม้มาใช้สอยได้ ป่าใช้สอย เป็นป่าที่หมู่บ้านสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และป่าหัวไร่ปลายนา คือ ป่าที่ชาวบ้านปลูกต้นไม้ไว้ สามารถตัดมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือนได้ไม่ผิดกติกาชุมชน เริ่มสร้างสำนึกในชุมชน เริ่มวางแผนปิดป่า-สอนให้พึ่งตัวเอง เริ่มจากปลูกป่าหัวไร่ปลายนาก่อน”
เมื่อป่าเริ่มฟื้นก็มีความสมบูรณ์จากการไม่ได้เข้าไปทำไร่ของชาวบ้าน สิ่งที่ชาวบ้านคิดต่อก็คือ ต้องหาอาชีพเสริมตามวิถีชีวิตที่คนอยู่กับป่าได้
“ที่ ต.ศิลาแลง ยังมีการปลูกข้าวโพดอยู่ แต่เป็นพืชหลังนา เป็นข้าวโพดข้าวเหนียว พื้นที่ทำกินใช้ประโยชน์ให้ครบ ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก ซึ่งข้อดีของการมีป่าเพิ่มในตอนนี้คือ เรามีอาหารเกิดขึ้นในป่าทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น เห็ด หน่อไม้ สมุนไพร และพืชผักต่างๆ
ไม่มีพืชเศรษฐกิจที่จะมีพ่อค้าคนกลาง หรือรถบรรทุกเข้ามา มีอาชีพเสริม เช่น ทอผ้า จักสาน ใช้สีของไม้ในป่ามาทำสีย้อมฝ้าย ทำไม้กวาด ถ้าพ่อบ้าน ก็เป็นช่างไม้ ช่างปูน ตีเหล็ก”
ผลที่เกิดจากการอนุรักษ์พื้นที่ป่ามีหลายมิติมาก ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชุมชน การเริ่มต้นเชื่อว่า ป่าคือชีวิต และจัดการป่าโดยน้อมนำคำสอนของในหลวง ร.9 มาใช้ นอกจากยั่งยืนแล้ว ยังทำให้ชุมชนของเราได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวพร้อมกับกองทุนรักษาป่า และได้รับ “ธงพิทักษ์ป่า” จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแก่น ในปิง อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านน้ำมีด ต.เปือ อ.เชียงกลาง บอกถึงแนวทางของการจัดการต้นน้ำมีดว่า อย่างแรกต้องศึกษาพื้นที่ว่ามีทรัพยากรเหลืออยู่เท่าใด เก็บน้ำให้อยู่กับดินด้วยการสร้างฝาย เก็บดินให้อยู่กับที่ด้วยการปลูกหญ้าแฝก ปลูกป่าต้นน้ำ และสิ่งสำคัญคือกระบวนการเปลี่ยนผู้บุกรุกให้เป็นผู้พิทักษ์
“ต้องปลูกป่าในใจเยาวชน ตัวแปรคือพระสงฆ์เป็นองค์สำคัญ พูดแล้วชาวบ้านและเด็กศรัทธามาก เสาร์อาทิตย์ก็พาเด็กขึ้นดอยไปด้วย ไปเล่าเรื่องราว และสอนการดูแลป่าให้ฟัง ทำในที่ของเรา เพื่อในหลวง
ร.9 และเป็นแรงบันดาลใจช่วยพ่อแม่เขาให้อยู่รอดและถ่ายทอดคนรุ่นต่อไป ถ่ายทอดด้วยหลักสูตรลงไปในโรงเรียนชุมชนเพื่อปลูกฝังเด็กตั้งแต่วัยเรียน เช่น ในรอบเดือน ครูก็จะได้มาเรียนรู้เรื่องการจัดการป่า พาเด็กๆ ลงพื้นที่จริงว่าการดูแลจัดการป่าให้ประโยชน์อะไรบ้าง ให้เขาเห็นค่าด้วยตัวเอง”


