แสงออร่ามนุษย์
เรื่อง : ปู โลกเบี้ยว
เรามีพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่คลุมอยู่รอบทิศทางบนตัวคนเรา สิ่งมีชีวิตก็มีกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นพวกสัตว์ พืช ต้นไม้ก็มี และมันมักจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามอารมณ์ของเรา มีความเข้ม เบา และลดลง จนกระทั่งไม่มีเลยเมื่อคนเราหมดลมหายใจตายลงนั้นแหละ
เราเรียกพลังแม่เหล็กไฟฟ้าแบบนี้ว่า แสงออรา
แสงออราก็คือ พลังเรืองแสงที่แผ่รัศมีอยู่รอบๆ ร่างกายของมนุษย์ สีของออรามีความแตกต่างหลากหลายสีตามความคิด อารมณ์ เพราะบ่งบอกถึงสภาพจิต ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และจิตใจที่แตกต่างกัน สีและปริมาณแสงก็ต่างกันด้วย
สุขภาพร่างกายก็มีผล สมาธิดีมีสติปัญญาแสงออราก็จะค่อนข้างสมบูรณ์ ถ้าขาดสติไม่มีสมาธิแสงออราก็จะไม่มีพลัง หรือถ้าป่วยใกล้ตายแสงออราก็จะลดจนไม่มีเลย เราจะเห็นจากภาพศาสดาของศาสนาต่างๆ มักจะมีแสงออราสีเหลืองทองส่องสว่างสดใสเป็นชั้นๆ บริเวณพระเศียรของศาสดาเหล่านั้น อาจเป็นเพราะเกิดจากบุญบารมี
มนุษย์เรามีแสงออราเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แต่จะมีหลากหลายสี ถ้ามีแสงสีที่สดใสสบายตาแปลว่าคนคนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจดีมีคุณธรรม มีพลังจิตที่ดี แต่ถ้าสีขุ่นดำแสงไม่สดใส มักหมายถึงคนที่มีเรื่องให้คิดมากมายยึดติดกับวัตถุนิยม หรือสุขภาพร่างกายมีปัญหาเจ็บป่วยอยู่ เพราะสมัยนี้บางครั้งคนเราก็ขาดการพัฒนาระดับจิตใจปล่อยให้เกิดความโลภ ความอิจฉาริษยาอาฆาต และความกลัวเข้ามาครอบงำ แต่สีที่สดเกินไปและเข้มมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีเสมอไปนะ เพราะมันอาจจะหมายถึงความกระตือรือร้นมุ่งมั่นที่แรงกล้าก็ได้
ถึงเราจะมองแสงออราเหล่านี้ไม่เห็น แต่เราก็สามารถรู้สึกและสัมผัสได้จากราศีที่เปล่งประกาย เช่น ดูแล้วคนนี้สดใสไม่ห่อเหี่ยวราศีจับ เห็นแล้วมีความสุขไม่อมทุกข์ หรือเมื่อเข้าใกล้แล้วรู้สึกถึงความจริงใจถูกชะตากันอย่างนี้ เป็นต้น ถ้าออราอ่อนมากๆ หรือขาดๆ หายๆ นั่นหมายความว่าเป็นคนอ่อนแอไม่ประสบความสำเร็จ เหนื่อยง่าย ป่วย ขาดหายตรงไหนก็แปลว่าสุขภาพร่างกายตรงนั้นมีปัญหา เช่น บริเวณไหล่แขนขาดหายไป ก็เท่ากับว่าตรงบริเวณนั้นมีปัญหาเจ็บป่วยอยู่
สมัยนี้มีเครื่องมือที่สามารถถ่ายแสงออราให้เห็นเป็นภาพปรากฏออกมาแยกสีสันให้เสร็จเลย ทำให้เราสามารถเห็นถึงสภาพจิตใจภายในและสุขภาพของคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน สีสันที่เห็นก็มีความหมายต่างกัน อย่างเช่น แสงสีเหลืองทองที่อยู่รอบพระเศียรของพระศาสดาในศาสนาต่างๆ นั้น หมายถึงพลังจิตที่แข็งแรง มีคุณธรรม มีบุญบารมี และไม่ค่อยได้เห็นในมนุษย์ทั่วไป แสงสีขาวสีฟ้า หมายถึงจิตใจที่สงบบริสุทธิ์ สุขภาพดี ใจกว้าง สีม่วง หมายถึงคนที่มีสมาธิดีและมักมีสัมผัสที่พิเศษ สีเขียวเหลือง สนุกสนาน ปัญญาดี สีแดง มุ่งมั่น พลังเยอะ หรืออยู่ในสภาวะเครียด และพวกสีดำๆ ขุ่นๆ หมายถึงกำลังมีปัญหาทุกข์สับสน
ปูได้มีโอกาสถ่ายภาพเหล่านี้หลายครั้งอยู่ ครั้งแรกในรายการหนึ่งหลายสิบปีมาแล้วออกมาสีเขียวๆ เหลืองๆ ร่าเริงสดใส ไม่ได้คิดและไม่สนใจอะไร ครั้งที่สองไปงานวันวิทยาศาสตร์ สมัยก่อนจัดไม่ใหญ่โตอะไรมากนักที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปเดินกับน้องชายเลยลองเข้าไปถ่ายรูปกันเล่นๆ ปรากฏว่าเป็นแสงสีฟ้าและขาว มีผู้รู้คอยให้คำแนะนำบอกเล่าว่าสภาพจิตใจเราเป็นอย่างไรบ้าง แต่ที่นี่ทำให้ปูหวาดกลัวไปนานเลย เพราะเขาบอกว่าสีฟ้าเนี่ย หมายถึงสุขภาพดี แต่พอมีแสงสีขาว เขาดันบอกว่ามีวิญญาณเด็กคอยติดตามนะสิ
เล่นเอาขนหัวลุกเชียว ทำแท้งก็ไม่เคยทำ แล้ววิญญาณเด็กที่ไหนมาตามเราวะเนี่ย??
ของน้องชายปูน่ะเป็นสีแดงล้วนๆ เลยล่ะ เขาว่าเพราะเจ้าน้องชายมีแต่ความรุนแรงอยู่ในตัวนะสิ
พอได้ถ่ายครั้งที่สาม เวลาถ่ายก็พยายามทำใจให้สงบ นึกถึงสิ่งดีๆ สถานการณ์ที่มีความสุข ภาพยังออกมาเป็นแสงสีม่วง ชมพู แดงเลย อย่างน้อยสภาวะจิตของปูก็มีระเบียบมากยิ่งขึ้นนะสิ เพื่อนที่ไปถ่ายด้วยกันนะถ่ายครั้งแรกแสงสีแดงแจ๊ดเลยล่ะ เขาไม่พอใจยอมเสียเงินถ่ายอีกภาพนึง อุตส่าห์ไปเดินเล่นในสวนเสียตั้งนาน ทำใจทำสมาธิอะไรของเขาก็ไม่รู้ล่ะ แล้วกลับมาถ่ายภาพอีกครั้งสีแดงลดลงจากสีเข้มๆ ก็กลายเป็นมีแสงสีที่เบาดูสบายตาขึ้น นั่นหมายความว่าสภาพจิตใจเขาปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่พลุ่งพล่าน หรือเครียดมากจนเกินไปนั่นเอง


