จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ โก๋ไม่แก่
“ในทางธุรกิจความสำเร็จอาจวัดจากการเติบโตหรือผลกำไร แต่ในการผลิตภาพยนตร์ความสำเร็จวัดจากคนดูที่ชื่นชอบผลงานเรา”
โดย...ปิยนุช ผิวเหลือง
“ในทางธุรกิจความสำเร็จอาจวัดจากการเติบโตหรือผลกำไร แต่ในการผลิตภาพยนตร์ความสำเร็จวัดจากคนดูที่ชื่นชอบผลงานเรา” จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย และผู้ผลิตภาพยนตร์ค่ายโก๋ฟิล์มกล่าว
การเริ่มต้นผลิตภาพยนตร์จริงๆจังๆ ครั้งแรก เริ่มขึ้นตอนอายุ 24 ปี ควบคู่กับการเข้ามาบริหารธุรกิจให้แก่ครอบครัว
“ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะยุ่งตลอดเวลา เราสามารถจัดสรรเวลาได้” จุมภฏกล่าวถึงการเข้ามาบริหารธุรกิจให้ครอบครัว ขณะเดียวกันก็เลือกทำงานที่รักไปด้วย
ทั้งนี้ เขาได้เริ่มต้นจากการผลิตหนังสั้น ส่งประกวด จนกระทั่งผลิตหนังสู่โรงภาพยนตร์ ภายใต้ค่ายที่ก่อตั้งขึ้น นามว่า “โก๋ฟิล์ม”
สำหรับที่มาของชื่อ “โก๋ฟิล์ม” นั้น จุมภฏ บอกว่า พี่หมู สุภาพ หริมเทพาธิป บก.ไบโอสโคป เป็นคนตั้งให้ และคิดว่าเท่ดีเลยใช้ชื่อนี้มา โดยได้ผลิตภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2552 ชื่อเรื่องว่า “มันส์ ทำเรื่อง” เป็นเรื่องสั้น 5 เรื่องในภาพยนตร์ หลากรสชาติ ที่เน้นสะท้อนสังคม เข้าฉายที่ลิโด หลังจากนั้นในปี 2557 ได้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง เซอร์เรียล (SUR-REAL) กึ่งภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ เป็นภาพยนตร์ 3 รสชาติ 3 เรื่องราว หลากหลายแนว ทั้งแอ็กชั่น-ดราม่า ตลก-อีโรติก และโรแมนติก-คอมเมดี้ โดยส่งเข้าประกวด งานเทศกาลภาพยนตร์ในต่างประเทศปี 2559 และได้รับรางวัลกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และสเปน สำหรับรางวัลใหญ่ที่สุดที่ได้รับคือ วินเนอร์ เบส ฟอเรียน ฟิล์ม (Winner Best Foreign Film) ปี2559 จากฮอลลีวู้ด หรือสหรัฐอเมริกา
จุมภฏ กล่าวว่า โดยส่วนตัวเป็นคนชอบชมภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก ชมได้ทุกแนว ยกเว้นหนังผี เนื่องจากไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงอรรถรสในการชมได้
“ในชีวิตผมมีสิ่งที่รักและชื่นชอบอยู่ 3 สิ่ง ได้แก่ 1.ชอบหนัง 2.ชอบประวัติศาสตร์ ชอบการเดินทาง เรียนรู้เรื่องราว และ 3.ชอบศิลปะ ชอบเสพงานอาร์ต ที่ไม่นามธรรมจนเกินไป” จุมภฏนิยามถึงตัวตนของเขา
ขณะที่ต้องสวมบทบาทนักธุรกิจและผู้ผลิตภาพยนตร์ในปัจจุบัน เมื่อถามถึงความเหมือนและจุดร่วมของบทบาททั้งสองด้าน เขากล่าวว่า “มองว่าทั้งเรื่องการทำงาน (ธุรกิจ) และเรื่องการผลิตภาพยนตร์ ‘ไม่มีวันพอ’ กล่าวคือทั้งสองสิ่งต้องพัฒนาขึ้นจากเดิม หากในตำแหน่งผู้ผลิตภาพยนตร์ เปรียบเทียบจากสมัยก่อนถือว่าเรามาไกลพอสมควร” สำหรับเขาการสร้างภาพยนตร์ทำขึ้นด้วยใจรัก เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง “ในทางธุรกิจความสำเร็จอาจวัดจากการเติบโตหรือผลกำไร แต่ในการผลิตภาพยนตร์ความสำเร็จวัดจากคนดูที่ชื่นชอบผลงานเรา”
จุมภฏ กล่าวด้วยว่า การเป็นคนคิดนอกกรอบ และชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ของเขาส่วนหนึ่งมาจากการสั่งสอน และตัวอย่างที่มีให้เห็นจากคนรุ่นพ่อ “พ่อไม่เคยสอนให้งมงาย หรือให้เชื่อแค่สิ่งที่ทำต่อๆ กันมาโดยไม่ได้ตรวจสอบ อีกทั้งพ่อเป็นคนแหวกแนว เช่น คิดค้นแบรนด์ที่ทำให้ฟังแล้วติดหู เช่น โก๋แก่ โดยก่อนหน้านี้ เคยตั้งว่า กิ๊กก๊อก ก็มี อีกทั้งเคยมีถั่วยี่ห้อ อพอลโล่ หรือในช่วงที่แชร์แม่ชม้อยดัง ก็ตั้งชื่อถั่วแชร์ ซึ่งอาจจะขัดกับความคิดของคนในยุคนั้น แต่ปัจจุบันได้พิสูจน์ให้เห็นถึงผลดี และความสำเร็จของแบรนด์ โก๋แก่” ดังนั้นการผลิตภาพยนตร์ของเขา จึงไม่มีแนวที่ชัดเจน หรือสุดโต่งทางใดทางหนึ่ง “ภาพยนตร์ที่ผมสร้างอาจคล้ายหนังอาร์ต แต่ยังคงเน้นการสื่อสารกับคนดู ให้คนดูเข้าใจหนังที่เราสร้างเรียกว่าเป็นหนังอาร์ตที่เล่าเรื่อง”
ในวันที่ 20-22 ม.ค.ที่ผ่านมา โก๋ฟิล์มได้เปิดให้ชมภาพยนตร์เรื่อง เซอร์เรียล (SUR-REAL) ฟรี ซึ่งสามารถลงทะเบียนและขอรับบัตรได้ที่ โก๋ฟิล์มแฟนเพจ จัดฉายที่เซ็นทรัลเวิลด์ “จุดประสงค์ที่เปิดให้ชมภาพยนตร์ฟรี ผมต้องการให้คนไทยได้ชมภาพยนตร์หลากหลายแนว โดยต้องการจะสื่อว่า ไม่ใช่มีแค่หนังอาร์ตชมยาก ที่ผลิตออกมาแล้วได้รางวัลเท่านั้น แต่ยังมีภาพยนตร์อีกหลายแนวให้ติดตาม ต้องการให้แวดวงภาพยนตร์ไทยเปิดกว้างมากขึ้น”
ขณะที่ในปี 2560 มีแผนเปิดตัวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องที่ 3 ของค่ายโก๋ฟิล์ม เปิดกล้องถ่ายทำในช่วงกลางปี คาดแล้วเสร็จปี 2561 โดยใช้งบประมาณในการผลิตหนังกว่า 6-7 ล้านบาท ไม่รวมงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ ชื่อเรื่องยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่รับรองว่ามีนักแสดงมีชื่อร่วมอยู่คับคั่ง”
ทั้งนี้ นักแสดงชายที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์ จะควบตำแหน่งพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ โก๋แก่ โดยภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ได้อิงจากหนังสือนวนิยายไทย 2 เล่ม ที่คนไทยรู้จัก แนวไซไฟ (Sci-Fi) และอีโรติก (Erotic)
“มองว่าหนังไทยในปัจจุบันเมื่อเอาหนังสือมาทำเป็นหนัง ต้องเผชิญกับความคาดหวังของคนดูให้เหมือนกับหนังสือ ซึ่งข้อจำกัดมันต่างกัน แต่ในทางกลับกันหนังไทยไม่เคยมีหนังที่อิงมาจากหนังสือ แต่ถ่ายทอดไม่เหมือนกันเลย ซึ่งเราจะทำภาพยนตร์แนวนี้ครั้งแรก แค่ดึงกลิ่นอายมาจากหนังสือ เช่น ภาพยนตร์ฝรั่งอย่างโรมิโอ แอนด์ จูเลียต อยากให้มันปรับเข้ากับยุคนี้มากขึ้น และผู้ชมสามารถเข้าใจได้”
จุมภฏ กล่าวทิ้งท้ายการใช้ชีวิตสไตล์เขาว่า “อย่าไปเครียด อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ทั้งเรื่องภาพยนตร์และเรื่องงาน”


