คนไม่ยอมโต Peter Pan Syndrome
พ่อแม่ยุคนี้ ทำให้ผมค่อนข้างกังวล ที่กังวลเพราะเห็นว่าส่วนใหญ่จะตามใจลูกๆ มาก ไม่ว่าจะรวย กลางๆ หรือค่อนข้างจน
โดย...ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ ภาพ... เอพี
พ่อแม่ยุคนี้ ทำให้ผมค่อนข้างกังวล ที่กังวลเพราะเห็นว่าส่วนใหญ่จะตามใจลูกๆ มาก ไม่ว่าจะรวย กลางๆ หรือค่อนข้างจน ก็เริ่มดูไปแนวเดียวกันคือ อยากทำอะไรให้ลูกมีความสุข มองลูกแทบเป็นพระเจ้า จนเด็กๆ หลายคน ตัวนิดเดียว แต่เห็นมีโทรศัพท์มือถือ ไอแพด ไอโฟน เกมรุ่นใหม่ล่าสุด ฯลฯ ตั้งแต่ยังเล็กๆ จนวันๆ หนึ่งไม่ได้ใช้เวลากับใคร นอกจากหมกตัวอยู่ในห้อง เล่นเกม ดูหนัง แชตกับเพื่อนออนไลน์ และที่พ่อแม่ตามใจ เพราะตัวเองก็งานหนัก ไม่มีเวลาว่างให้ลูก กลับบ้านก็ไม่อยากให้ลูกกวนมาก ทนฟังลูกบ่นไม่ค่อยได้ เพราะอยากให้ลูกสุขให้คุ้มกับที่ตัวเองทำงานเหนื่อย เลยยอมให้ลูกมีกิจกรรมที่ตัวเองชอบที่บ้าน อย่างน้อยก็ยังอยู่ในสายตา
อีกอย่างพ่อแม่ยุคนี้ตั้งธงว่า จะทำงาน ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุขสบาย และมีความมั่นใจในตัวเอง เลยไม่กล้าแตะอะไรมาก อะไรก็ถือว่าเป็นพัฒนาการของลูกไปหมด จนลืมดูความเหมาะสมไป
แต่เด็กๆ ที่เติบโตมาแบบนี้ ส่วนใหญ่จะขาดทักษะในการเข้าสังคม แต่เจ้าตัวไม่รู้ ไม่รู้จนคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีทักษะทางสังคมอะไรมาก และด้วยความที่ได้อะไรมาง่าย ได้อะไรมาเร็ว ทำให้คอยอะไรได้ไม่นาน แถมไม่ค่อยยอมร่วมมืออะไรกับใคร สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำก็น้อย จะสนใจเฉพาะกิจกรรมประจำที่ตัวเองทำอยู่ เสียงเกมกด เสียงเรียกสายมือถือ และเสียงกับภาพตื่นตาตื่นใจที่ตัวเองเสพทุกวัน มันมาไวไปไว ทำให้เขาเรียนรู้แต่เด็กว่า สมาธิจดจ่อกับอะไรนานๆ ไม่จำเป็น ง่ายๆ คือ อะไรไม่ชินหู ไม่ชินตา ก็ไม่ต้องสนใจ
ด้วยฐานการเลี้ยงดูแบบตามใจนี้ เด็กเหล่านี้เมื่อโตเข้าวัยหนุ่มสาว เริ่มไปทำงาน ก็ไม่เห็นสาระของการร่วมมือหรืออดทนเรียนรู้งานอะไร ทำอะไรซักพักก็เลิก กลับมาอยู่บ้าน เพราะบ้านสบายกว่า แล้วก็พยายามหาธุรกิจทำเอง ทำกับเพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง แต่ทำได้ไม่นานก็เบื่อ หรือพอธุรกิจเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มเกิดเจอทางตัน ก็ล้มเลิกไป แล้วคิดโปรเจกต์ใหม่ไปเรื่อยๆ
ท้ายสุดก็กลับมาอยู่ในห้อง เล่นเกม ดูหนัง แชตกับเพื่อน เหมือนเด็กๆ เคยทำอย่างไร? โตมาก็ทำอย่างนั้น กลายเป็น “คนไม่ยอมโต” นักจิตวิทยา (บางกลุ่ม) ให้คำนิยามว่าเป็นโรคปีเตอร์ แพน (Peter Pan Syndrome) ซึ่งหมายถึง ปีเตอร์ แพน ตัวละครตัวหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยนักประพันธ์ชาวสกอตแลนด์ ชื่อ เจ.เอ็ม.แบร์รี่ ปีเตอร์ แพน มีฝันเดียวในชีวิตคือ อยากเป็นเด็กตลอดไป และจะปฏิเสธการโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ทำอย่างนั้นเพียงเพื่อใช้ชีวิตอย่างที่ใจฝัน คือกลับไปอยู่จุดที่ชีวิตสุขที่สุด คือ วัยเด็ก วัยที่พ่อแม่ตามใจ ดูแลทุกอย่างนั่นเอง
เนื่องจากผู้ใหญ่ตามใจ เด็กจึงฝันจะให้ชีวิตสบายแบบนี้ตลอดไป พอโตเป็นผู้ใหญ่จึงปฏิเสธความรับผิดชอบแบบที่ผู้ใหญ่พึงต้องมี การใช้ชีวิตที่ตัวเองคุ้นชิน หมกตัวอยู่แต่ในห้อง อยู่ในโลกปลอดความกดดันใดๆ จึงกลายเป็นกำแพงทำชีวิตให้หยุดโต และหยุดโตไปอย่างนั้นนานแสนนาน นานจนปรับตัวกับโลกภายนอกไม่ได้
คนที่เข้าข่ายเป็นโรคปีเตอร์ แพน นอกจากจะชอบอยู่ในโลกส่วนตัวที่แสนสบายแล้ว จะมีลักษณะประมาณนี้คือ
1.หลงตัวเอง คิดว่าใครๆ ก็พร้อมตามใจ ถ้าไม่ตามใจก็จะโกรธ อีกทั้งควบคุมอารมณ์โกรธตัวเองไม่ได้ เพราะไม่เคยเข้าใจว่าต้องคุม
2.สับสนง่าย เมื่อไม่ได้ดั่งใจ อะไรก็กระทบชีวิตได้ง่าย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทำให้เศร้าได้เป็นวันๆ ไม่หาย
3.รักใครไม่เป็น รักตัวเองก็ไม่เป็น ทำเป็นแต่ให้คนอื่นดูแล แต่ตัวเองดูแลใครได้ไม่นาน (หรือทำได้แป๊บเดียวก็เลิก)
4.เวลาไปทำอะไรไม่ดีมาแล้วถูกจับได้ จะรู้สึกผิดไม่นาน แต่ก็เลือกโทษคนอื่น มากกว่าโทษตัวเอง
5.มีแฟนก็จะให้แฟนตามใจ และจะรักษาความสัมพันธ์ได้ไม่นาน เพราะแฟนจะรู้ว่าคนคนนี้ไม่ยอมโต
6.ไม่คบคนที่เห็นต่าง เพราะถ้าไม่เห็นด้วยก็คือ ไม่ตามใจ เมื่อไม่ตามใจ ก็ไม่ต้องเกี่ยวอะไรกัน
7.บริหารความสุขไม่เป็น สุขไปก็กลัวทุกข์ไป ตอนมีความสุขก็ยังกลัวว่าสุขจะอยู่ไม่ยาว คือเป็นคนสุขนิยม แต่ก็กลัวคนมาเอาความสุขไป จะหวงทุกอย่าง ทุกกิจกรรมที่ทำให้สุข ใครขอให้เลิกจะโวยวาย ตอบสนองแรงเกินจำเป็น
และ 8 ท้ายสุด มักจะมีอาการ “Phobia” และซึมเศร้าเป็นช่วงๆ การเริ่มกลัวอะไรบางอย่าง มักเกิดเพื่อไม่ต้องจัดการกับความสะเทือนใจที่ตัวเองรู้ว่าเกิดจากการไม่ยอมโต แล้วทำให้คนรอบข้างปวดใจนั่นเอง
ดังนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ระวังให้ดีนะครับ ว่าเรากำลังจะสร้างลูกเราให้เป็นปีเตอร์ แพน หรือเปล่า? การตามใจมากๆ เพราะเห็นว่าเราลำบากมา แล้วอยากทดแทนทุกอย่างที่ตัวเองไม่เคยมี ไม่เคยได้ ให้ลูกได้มี ให้ลูกได้สบาย ท้ายสุด ความหวังดีนี้อาจแว้งกลับมาทำลายลูกและอนาคตของเขาได้
คนไม่ยอมโตส่วนใหญ่ มีพ่อแม่ที่ทำทุกอย่างให้ ปกป้องจากทุกความผิด และพร้อมเอาใจ ช่วงเจ็ดถึงสิบปีแรกของชีวิต บวกกับการไม่สอนทักษะชีวิตอะไรให้ลูก ไม่เตรียมลูกให้ร่วมมือกับคนอื่น ให้เข้าสังคม ให้มีจิตอาสา ให้วางแผนชีวิต วางแผนการเงินให้ตัวเองแต่เนิ่นๆ
ถ้าลูกเริ่มออกอาการไม่ยอมร่วมมือกับใคร และถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้น เพราะเห็นว่าทุกคนต้องตามใจเขา ให้เราระวัง ระวังว่าเรากำลังจะส่งลูกไปเป็นผู้ใหญ่ไม่ยอมโต
จริงๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ยอมโตมีในสังคมอยู่มากทีเดียว ไม่ได้น้อยอย่างที่เราคิด แต่เพราะคนที่เจ็บปวดรอบข้างตัวเขามักอาย และไม่ค่อยอยากให้ใครรับรู้เรื่องราวในครอบครัว กับความล้มเหลวของการเลี้ยงดูลูกที่มาเข้าใจเอาเมื่อสาย จึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็น ได้ยิน หรือคิดว่า คนไม่ยอมโตระดับนี้มีจริงๆ ในสังคม
ส่วนคนที่อ่านบทความนี้แล้วคิดว่าเราเข้าข่าย “คนไม่ยอมโต” ผมอยากขอโทษคุณที่ต้องเขียนถึงตรงไปตรงมา แต่คุณสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ โดยเริ่มยอมรับความจริงว่า ชีวิตสบายที่คุณคิด และชีวิตวัยเด็กที่คุณอยากย้อนเวลาไปหานั้น มันไม่เคยมีอยู่จริง เมื่อคุณมองกระจก คุณคือผู้ใหญ่ ที่ต้องเริ่มยอมฮึดขึ้นสู้กับความเชื่อเก่าๆ ชีวิตเก่าๆ เพื่อโตขึ้น เพื่อภูมิใจว่า คุณเอาชนะ “ความเด็ก” ในตัวคุณได้
ความภูมิใจที่คุณยอมลุกขึ้นมาร่วมมือกับคนรอบข้างมากขึ้น อดทนขึ้น ยอมต่อรองกับสังคมมากขึ้น ไม่ต้องการการตามใจเหมือนที่เคยเป็น จะทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองจริงๆ จากภายใน
เพราะปีเตอร์ แพน มีแต่ในนิยาย ในความจริง ไม่มีใครชอบ “คนไม่ยอมโต”


