‘เยาวราช’ หลังม่านแดงตรุษจีน
ปี 2560 มีการงดจัดเทศกาลตรุษจีนเยาวราช ทั้งนี้ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต
โดย...ทีม@weekly ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ปี 2560 มีการงดจัดเทศกาลตรุษจีนเยาวราช ทั้งนี้ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต ในวันที่ 13 ต.ค. 2559 และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้หน่วยราชการไว้ทุกข์มีกำหนดเป็นเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยแด่พระองค์ คณะกรรมการจัดงานเทศกาลตรุษจีนเยาวราช จึงมีมติเห็นควรงดการจัดงานประเพณีตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2560
อย่างไรก็ตาม โดยวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีนในเยาวราชก็ยังมีการถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่เช่นเดิม แต่ไม่มีการเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริกเฉกเช่นทุกปี
เพราะเยาวราชกับตรุษจีน เป็นเรื่องที่เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก
เปิดงานวิจัยระดับปริญญาโท "เยาวราช : คุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรม" ของ กุมารี ลาภอาภรณ์ สาขาวัฒนธรรมศึกษา สถาบันวิจัยภาษา และวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พิจารณาในแง่คุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมของยูเนสโก (UNESCO) ในการที่จะเข้าข่ายมรดกโลก ชุมชนย่านเยาวราชมีคุณค่าที่สามารถจำแนกแยกย่อยได้ดังนี้
+ คุณค่าทางวัตถุ (Materialistic Value) ที่แฝงไปด้วยสัญลักษณ์และความหมายมากมายผ่านทางวัตถุต่างๆ เช่น รูปปั้นมังกรเป็นตัวแทนของความเป็นชาย โคมไฟสื่อถึงแสงที่ส่องสว่างในการส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์
+ คุณค่าทางประวัติศาสตร์ (Historical Value) หลักฐานจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัยริมถนนและในตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน และวิถีชีวิตตั้งแต่ครั้งชาวจีนอพยพเข้ามาพร้อมกับเสื่อผืนหมอนใบในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีระยะเวลายาวนานนับร้อยปี
+ คุณค่าทางจิตใจและความรู้สึก (Spiritual Value) ซึ่งปรากฏในคำสั่งสอนและการปฏิบัติที่มีสืบทอดกันมายาวนาน ทำให้ชาวจีนมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น คือ มีความกตัญญู รู้คุณคน ขยัน พากเพียร หนักเอาเบาสู้ ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม
+ คุณค่าทางศิลปะ (Artistic Value) กับคุณค่าทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Value) ที่ดูเหมือนจะแยกจากกันไม่ออก ถูกถ่ายทอดผ่านช่าง และศิลปินที่บรรจงสร้างงานศิลปะต่างๆ เช่น งานจิตรกรรมฝาผนัง การออกแบบทางสถาปัตยกรรม ที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อและตำนานทางประวัติศาสตร์
+ คุณค่าทางวัฒนธรรม (Culture Value) ที่ได้สั่งสมและถ่ายทอดออกมาผ่านธรรมเนียม ปฏิบัติ รวมถึงคติธรรม คำสอน การใช้ชีวิตประจำวันที่ยึดถือกันมาจวบจนทุกวันนี้ เพื่อความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เพื่อลูกหลานได้อยู่รอดปลอดภัย
เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน ที่แรกที่คนไทยทั้งประเทศนึกถึงก็คือ เยาวราช หรือไชน่าทาวน์ เมืองไทย
ตรุษจีนบนถนนสายทองคำ
หากย้อนกาลเวลาไปประมาณสักร้อยปี ในเมืองไทยมีร้านทองระดับโอฬารมากอยู่ 4 ร้าน ล้วนเป็นร้านทองที่ตั้งอยู่บริเวณเยาวราช ครั้งนั้นร้านทองทั้ง 4 ร้านนี้ ถูกขนานนามว่าเป็น "สี่เสือร้านทองแห่งสยาม" คือ
1.ห้างทองอี้สุ้นมุ้ย ร้านทองเก่าแก่ เจ้าของแซ่ตั้ง ตั้งอยู่แถวสำเพ็ง และเลิกกิจการไปนานแล้ว
2.ห้างทองหงี่สุ่ยเฮง ตั้งอยู่ถนนเยาวราช บริเวณเดิมก่อนเป็นโรงหนังศรีราชวงศ์ เจ้าของกิจการแซ่โง้ว เลิกกิจการไปแล้วเช่นกัน
3.ห้างทองตั้งโต๊ะกัง ร้านทองที่ตั้งอยู่ในถนนมังกร เยาวราช เก่าแก่กว่า 140 ปี ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่
4.ห้างทองเซ่งสุ่นหลี ตั้งอยู่บนถนนเยาวราช ตรงข้ามซอยคาเธ่ย์ ป้ายยังอยู่แต่ไม่ได้จำหน่ายทองแล้ว
ปัจจุบัน ร้านทองที่มีอยู่ได้ถูกสถาปนาเป็น "ห้าเสือเยาวราช" ประกอบด้วย 1.ห้างขายทองจินฮั้วเฮง 2.ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง 3.ห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง 4.ห้างขายทองหลูชั้งฮวด และ 5.ห้างขายทองแต้จิบฮุย และได้รวมตัวเป็นคณะกรรมการควบคุมราคาทอง
เยาวราช จึงเป็นถนนสายทองคำโดยแท้จริง
จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และผู้ดำเนินธุรกิจห้างขายทองจินฮั้วเฮง เล่าว่า เขาอาศัยอยู่ในเยาวราชมากว่า 60 ปีแล้ว ภาพเยาวราชที่เห็นในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก
“สมัยก่อนธนาคารส่วนใหญ่ก็จะอยู่แถวเยาวราช สำเพ็ง เช่นเดียวกับธุรกิจใหญ่ๆ ร้านขายส่ง จะจับจ่ายใช้สอยอะไรก็อยู่ย่านเยาวราช สำเพ็งทั้งนั้น ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นร้านทอง ที่อยู่ในเยาวราชกันมาก นับดูแล้วย่านนี้น่าจะมีร้านทองไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง ทั้งร้านเล็กๆ ไปจนถึงร้านใหญ่”
อย่างไรก็ตาม จิตติ เผยให้เห็นถึงความเป็นไปของความเปลี่ยนแปลงว่า ด้วยความที่พื้นที่เยาวราชมีจำกัด ดังนั้ นเมื่อผู้ประกอบการต้องการขยายกิจการจึงต้องออกจากเยาวราชไปขยายที่อื่นแทน
“ธุรกิจใหญ่ทยอยย้ายออกไปจากเยาวราชมา 20-30 ปีแล้ว เพราะเยาวราชไม่มีที่ให้ขยายต่อ เช่น ธนาคารหลายแห่งที่ทยอยย้ายไปที่อื่น หรือโรงหนัง โรงงิ้ว เมื่อ 30-40 ปีก่อน ในเยาวราชมีอยู่เต็มไปหมด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น เหลือโรงหนังเก่าๆ แค่ 1-2 แห่ง ส่วนโรงงิ้วก็ไม่มีแล้ว ส่วนกลุ่มที่ยังคงอยู่ในย่านนี้เหนียวแน่น ก็คือผ้า ศูนย์กลางก็ยังอยู่ที่นี่ รวมถึงร้านทอง และร้านอาหาร”
สำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีนในย่านนี้ จิตติฉายภาพอย่างผู้ชำนาญการว่า ปัจจุบันก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
“เมื่อ 40-50 ปีก่อนไม่เคยมีการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลตรุษจีน ร้านค้าอื่นๆ ในย่านนี้จะหยุดยาวกันหมด มีแค่ร้านทองที่เปิดช่วงตรุษจีน แล้วคนก็จะมาซื้อทองกันคึกคักมาก บางวันต้องเปิดร้านกันจนถึงเที่ยงคืนเพื่อรองรับความต้องการของคนที่เดินทางมาซื้อ”
จนกระทั่งกว่า 10 ปีก่อน ได้มีการโปรโมทเยาวราชเป็นแหล่งท่องเที่ยว จัดกิจกรรมตรุษจีนย่านเยาวราช จิตติ บอกถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนไปว่า ใครๆ ก็มาเดินเที่ยวเยาวราช
“จากเดิมร้านขายของต่างๆ ย่านนี้ปิดกัน ก็กลับมาเปิดขาย ส่วนร้านทองก็ยังคงเปิดขายเช่นเดิม เพียงแต่ไม่ได้เปิดยาวจนถึงกลางคืนแล้ว เพราะคนไม่ได้แห่มาซื้อทองมากเหมือนเก่าแล้วช่วงตรุษจีน ส่วนหนึ่งเพราะมีร้านทองที่ขยายไปเปิดตามห้างสรรพสินค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามหากใครมีงานแต่งงาน ไม่ว่าช่วงไหนก็ตาม กลุ่มนี้ก็ยังมาซื้อทองที่เยาวราชกันมากอยู่ดี เพราะมั่นใจว่าร้านทองในเยาวราชมีมาตรฐานสูง”
จิตติ มองไกลในฐานะคนเก่าแก่ที่มีรากเหง้าอยู่ที่เยาวราชว่า เยาวราชในอนาคตนั้น เชื่อว่าจะยังคงความดั้งเดิมหลายๆ อย่างไว้ได้อยู่ เพราะคนจีนรุ่นเก่าๆ จำนวนมากก็ยังคงอาศัยอยู่ในย่านนี้
“ส่วนคนรุ่นใหม่ที่ขยายกิจการใหญ่โตก็ย้ายออกจากย่านนี้ไปกันแล้ว ขณะที่การก่อสร้างรถไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้น หากก่อสร้างเสร็จเปิดให้ใช้บริการเมื่อไหร่ ก็คงทำให้การเดินทางมายังเยาวราชสะดวกขึ้น ทั้งนี้เยาวราชคงต้องมีการพัฒนามากขึ้น เพราะปัจจุบันเยาวราชกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว โดยถือเป็นไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชุมชนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่กันมาก หากพัฒนาเยาวราชนำสายไฟที่ห้อยระโยงระยางอยู่ลงดิน และช่วงกลางคืนมีไฟส่องสว่างมากขึ้นในย่านนี้ ก็คงจะทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาย่านนี้กันมากขึ้นแน่นอน”
ความเปลี่ยนแปรเป็นนิรันดร์ เสน่ห์ตรุษจีนที่แปลงไป
เทศกาลตรุษจีนของเยาวราช เมื่อย้อนนึกถึงความประทับใจของตรุษจีนในที่ซึ่งคนเก่าแก่ของที่นั้นไม่ลืมเลือน
"สมัยก่อนเวลาตรุษจีน ร้านทองจะเฉลิมฉลอง จุดตะเกียงห้อยระย้าเต็มไปหมด ร้านทองสมัยก่อนขายถึงตี 3 ตี 4 ในช่วงนั้นถ้าไม่มีใครมาซื้อก็จะมีการแจกป้านชา ถ้วยชาเป็นชุดเลย ปฏิทินทำด้วยอะลูมิเนียมอย่างดี ปฏิทินดาราจีนก็เอามาแจก สมัยก่อนทองไม่ได้แพงอย่างนี้ ทองบาทละ 285 บาท ก็เลยแจกอย่างไม่อั้น"
เจริญ ตันมหาพราน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมจีน-ไทย ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน "เยาวราชศึกษา" และเป็นผู้ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงไปของเยาวราชมาทั้งชีวิต ชี้อย่างตรงไปตรงมาว่า ตรุษจีนของเยาวราชในปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนไป
“ยกตัวอย่างง่ายๆ โรงงิ้วก็ไม่มีแล้ว หายสาบสูญไปเลย เดี๋ยวนี้ถ้าอยากดูงิ้วก็ต้องไปซื้อดีวีดีตรงแผงที่โรงหนังเท็กซัสมาดู แต่งิ้วก็ยังอยู่ โดยไปแสดงตามศาลเจ้านั่นแหละ ไม่มีวันหมดหรือหายไปหรอก เพียงแต่โรงงิ้วในเยาวราชไม่มีแล้ว เพราะเวลาศาลเจ้ามีงานฉลองก็จะมีการถามว่าจะเอาหนังกลางแปลงหรือจะเอางิ้ว หนังจะถูกหน่อย งิ้วก็จะแพง พอเสี่ยงติ้วทีไร เจ้าก็จะเอางิ้วตลอด”
ความศิวิไลซ์ของเยาวราช ถึงแม้จะตกไป แต่สิ่งที่ทำให้หมดไปก็คือเรื่องของงิ้ว งิ้วจะมีอยู่ 5 โรง บนถนนเยาวราช คือ อี่ไล่เฮียง, บ่วยเจี่ย, ซิงฮั้ว, ตงเจี้ยสุง, และไซฮ้อ เป็นงิ้วแต้จิ๋ว พอมาถึงยุคโรงหนังและวิดีโอก็เกิดการล่มสลายของงิ้วอย่างแท้จริง เจริญทอดถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมบอกว่า สีสันตรุษจีนเยาวราชหายไปหมดแล้ว โดยทุกวันนี้ตรุษจีนจะนิยมกันเรื่องแก้ปีชงไปเสียแล้ว ตรุษจีนเยาวราช คือ "เทศกาลแก้ปีชง"
“ทำกันทั่วบ้านทั่วเมืองเลย มาไหว้แก้ปีชงกันอย่างเดียว ไม่ได้มาไหว้เจ้าด้วยความศรัทธา โดยเฉพาะวัดมังกรฯ ซึ่งเราไม่ได้ว่าวัดมังกรฯ นะ เพราะมีเทพเสวยอายุ ปีชงต้องมาไหว้เทพองค์นี้องค์เดียว เพราะที่อื่นไม่มี เรียกว่าตรุษจีนทีหนึ่งแทบจะเหยียบกันตาย เสน่ห์ตรุษจีนเยาวราชหายไปหมดแล้ว งิ้วไม่มี คนเริ่มกลัวเคราะห์กรรมกลัวความตายเลยมาไหว้ศาลเจ้าแก้ปีชง ไม่ได้มาไหว้เจ้าเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตอีกแล้ว สิริมงคลเป็นแค่ผลพลอยได้”
เจริญย้อนความหลังวันวานว่า อย่างสมัยก่อนวันตรุษจีน คนจีนต้องไปโต๊ยหรือไปบริจาคเงินที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีบ้างแต่ไม่เยอะเหมือนสมัยก่อน
“คนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ไปไหว้เจ้าแล้ว เพราะเบียดสู้คนไม่ได้ ถ้าพูดถึงเยาวราช คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเข้าใจถึงขนบธรรมเนียมเก่าๆ ไปรับเอาวัฒนธรรมของไต้หวัน พูดง่ายๆ เลย ซึ่งจะเน้นเรื่องการทำมาหากิน อย่างการไหว้เทพเจ้าโชคลาภ ธรรมเนียมเดิมสมัยก่อนเขาไหว้บนดาดฟ้าแบบเงียบๆ ไม่อึกทึก แต่เดี๋ยวนี้ต้องไหว้หน้าบ้านให้คนอื่นๆ รู้ จะได้ยิ่งโก้ เป็นการโชว์ความศรัทธาความเข้มขลัง
“สมัยก่อนถึงวันตรุษจีนในเยาวราช คนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่กันหมดเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ห้ามด่าคน ห้ามกวาดบ้าน ซักผ้า ธรรมเนียมเก่าๆ เขาก็ไม่ถือกันแล้ว”
เจริญมองด้วยจิตที่ปลงตกว่า ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามโลก
“แต่ว่าจะให้เศร้าก็คงไม่เศร้าหรอก เพราะเราเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งดีทั้งร้ายมาเยอะแล้ว ตอนนี้ก็พยายามกระตุ้นคนรุ่นใหม่ให้เห็นรากเหง้าของคนจีนในเยาวราช งานตรุษจีนเยาวราชประจำปี พูดตรงๆ ผมไม่เคยไปเลย เดี๋ยวนี้ผมก็ออกจากเยาวราชแล้วนะ เพราะผมเห็นว่าเป็นเรื่องธุรกิจไปเยอะแยะแล้ว ตรงวงเวียนจีน ผมก็ต่อต้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บอกว่าเป็นประตูมังกร ซึ่งผมว่าไม่ได้นะ เพราะประตูมังกรต้องอยู่ตรงสะพานหัน เพราะวังหลวงอยู่ที่วัดพระแก้ว หัวมังกรต้องหันไปทางวังหลวง คนจีนเขาวาดมังกรก็ต้องวาดหัวก่อนหาง วงเวียนโอเดียนเพิ่งจะมาสร้างประตูมังกรเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ตรงนั้นแต่ก่อนเป็นป่าช้าเก่า โรงฆ่าสัตว์ แล้วก็เป็นสถานบันเทิงทางเพศ ซึ่งเป็นที่อโคจรทั้งนั้นเลย อย่างเรียกประตูมังกรเลย เรียกว่า 'ปากประตูทางเข้าเยาวราช' ดีกว่า อย่าไปบอกว่าเป็นหัวมังกร หัวเด็ดตีนขาดผมก็ไม่ยอม”
เมื่อพูดถึงอนาคต พอรถไฟฟ้ามาถึงเยาวราช เจริญจินตนาการว่าก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่คงมีคนเข้ามาเยอะในแบบนักท่องเที่ยว
“ส่วนคนจีนเยาวราชก็เหมือนเดิม ซื้อของเยอะๆ จะไปรถไฟฟ้าได้ไหม เพียงแต่เดินทางมาเยาวราชก็จะง่ายขึ้น ซึ่งมาเร็วไปเร็วความซาบซึ้งก็ไม่มี ทั้งศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆ ไม่มีความลึกซึ้ง เพียงแต่ทำเยาวราชให้เป็นที่จับจ่ายซื้อของมากิน ให้คนมาใช้เงินกันเยอะๆ”
ปัจจุบัน เจริญบอกว่า ตรุษจีนของเยาวราชมีคู่แข่งที่สำคัญที่สุดคือ นครสวรรค์ โดยเฉพาะที่ อ.ชุมแสง คนในชุมชนเขาเข้มแข็ง ไม่ได้เติบโตจัดงานอีเวนต์แบบการท่องเที่ยวเข้ามากำหนดและสั่งให้ทำตาม
“ทุกวันนี้ เยาวราชก็นำเอาการละเล่นมาจากเมืองจีนเยอะแยะ ยิ่งปัจจุบันคนทำหัวสิงโต ทำฮกลกซิ่ว เป็นช่างฝีมือคนเดียวที่เหลืออยู่ในประเทศไทย ก็ไม่มีใครสนใจเลย ซื้อหัวสิงโตมาเชิดก็ซื้อมาจากเมืองนอก ซึ่งหล่อจากเรซิน ไม่เหมือนของเราของช่างฝีมือเยาวราชทำด้วยเปเปอร์มาร์เช่แบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา”
ท้ายสุด เจริญก็ยังอยากจะเห็นเยาวราชเติบโตอย่างถูกต้องและยั่งยืน ไม่ใช่ผ่านมาผ่านไปแบบงานอีเวนต์มาแล้วก็จากไป
“ความเป็นไชน่าทาวน์หรือย่านคนจีนของเยาวราชจะแตกต่างกับที่อื่นๆ หรือในประเทศต่างๆ เพราะของเราจะใหญ่ เป็นถนนใหญ่ยาวกิโลเมตรกว่า ส่วนของต่างประเทศที่มีเป็นแค่ซอยเล็กๆ นิดเดียว ของเราเยาวราชถือเป็นแหล่งชุมชนใหญ่ของคนจีน และมีแม่น้ำผ่าน ซึ่งไชน่าทาวน์ทั่วโลกไม่มี เยาวราชของเราสวยงามที่สุด ควรมีการสานต่อพัฒนากันไป”
อดีตเยาวราช
เยาวราช เป็นถนนที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามโครงการถนนอำเภอสำเพ็ง ซึ่งเป็นนโยบายสร้างถนนในท้องที่ที่เจริญแล้วเพื่อส่งเสริมการค้าขาย สำเพ็งเป็นย่านการค้าที่เจริญมากแห่งหนึ่งนอกเหนือจากบริเวณถนนเจริญกรุงแล้ว ทำให้มีพระราชดำริที่จะสร้างถนนให้มากขึ้น
ถนนเยาวราชเป็น 1 ใน 18 ถนนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ขณะดำรงพระอิสริยยศพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการเสนอให้สร้าง เช่น ถนนจักรวรรดิ ถนนราชวงศ์ ถนนอนุวงศ์
เยาวราช เป็นถนนที่เริ่มตั้งแต่ถนนจักรเพชรถึงถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร บริเวณถนนเยาวราช มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นย่านการค้า รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองด้วย
หากเริ่มต้นตั้งแต่คลองรอบกรุงตรงข้ามกับป้อมมหาไชยตัดลงไปทางทิศใต้บรรจบกับถนนราชวงศ์ ซึ่งสร้างแยกจากถนนเจริญกรุงตรงไปฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา (ท่าราชวงศ์) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์กราบบังคมทูลว่าจะสร้างถนนใน พ.ศ. 2434 โดยให้ชื่อถนนว่า ถนนยุพราช ต่อมาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่าถนนเยาวราช และในวันที่ 28 ก.พ. 2434 ได้มีพระบรมราชโองการให้ออกประกาศกรมโยธาธิการแจ้งให้ราษฎรทราบว่า การตัดถนนเยาวราช เนื่องจากมีพระราชประสงค์จะให้บ้านเมืองเจริญและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อมิให้ราษฎรพากันตกใจขายที่ดินไปในราคาถูก เพราะเข้าใจว่าจะซื้อเป็นของหลวง หรือบางทีเข้าใจว่าการชิงขายเสียก่อน ถึงจะได้ราคาน้อยก็ยังดีกว่าจะสูญเปล่า และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตึกที่ยื่นล้ำเข้ามาในแนวถนนไม่เกินกว่า 1 วา ไม่ต้องรื้อถอนด้วย
ดังปรากฏในเอกสารของกรมโยธาธิการว่า เมื่อเจ้าพนักงานไปวัดที่ตัดถนนบริเวณตำบลตรอกเต๊านั้น ราษฎรร้องเรียนว่าเจ้าพนักงานไม่ยุติธรรมเพราะถ้าวัดปักไม้ถูกบ้านของผู้มีบรรดาศักดิ์ก็จะเลี่ยงไปปักที่ใหม่ถูกแต่ที่ราษฎรทั้งสิ้น ทำให้แนวถนนไม่ตรง ราษฎรที่ตรอกเต๊าจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ จึงเสนอให้มีเงินค่าเวนคืนที่ดิน หรือคำทำขวัญขึ้นเช่นเดียวกับที่คนในบังคับต่างประเทศได้รับ โดยได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลเมื่อ พ.ศ. 2477 และได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าปรึกษาในที่ประชุมรัฐมนตรีสภา ซึ่งมีพระราชดำรัสว่า
"ถนนสายเดียวซึ่งผู้ที่ไม่ได้ขัดขวางยอมให้ทำล่วงไปแล้วจะไม่ได้รับรางวัล จะได้แต่ผู้ที่ร้องขัดขวางเช่นนี้ก็เป็นที่น่าสงสารอยู่"
แต่อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเห็นชอบในการจ่ายค่าที่ดินแก่คนไทยเช่นเดียวกับคนในบังคับต่างประเทศเพื่อคนไทยจะได้ไม่เสียเปรียบคนต่างประเทศ
การสร้างถนนเยาวราช ประสบอุปสรรคหลายประการนับแต่เริ่มกรุยทางใน พ.ศ. 2435 จนถึง พ.ศ. 2438 ก็ยังไม่เสร็จเพราะนอกจากราษฎรจะขัดขวางแล้วยังปรากฏว่า เจ้าของที่ดินหลายรายขวนขวายที่จะขายที่ดินให้กับคนในบังคับต่างประเทศ ทำให้การก่อสร้างค่อนข้างล่าช้าเพราะกระทรวงนครบาลไม่อาจจัดการเรื่องที่ดินที่ถนนจะต้องตัดผ่านให้กับกรมโยธาธิการได้
จนกระทั่งใน พ.ศ. 2441 ปัญหาเรื่องที่ดินซึ่งจะต้องตัดถนนผ่านก็ยังไม่ยุติ ในวันที่ 4 มิ.ย. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการให้กระทรวงโยธาธิการดำเนินการตัดถนนต่อไป เพราะมีพระราชดำริว่าที่ดินซึ่งถูกตัดถนนผ่านไปนั้น ย่อมทวีราคาขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายสิบเท่าเป็นประโยชน์แก่เจ้าของมาก ไม่ควรจะเสียดายที่ดินซึ่งเป็นท้องถนนแต่เพียงเล็กน้อย เพราะรัฐบาลที่ลงทุนทำถนนก็ไม่ได้เก็บเงินค่าคนหรือรถม้าที่เดินบนถนนเลย เพื่อบำรุงการค้าขายให้สะดวก เจ้าของจึงไม่ควรหวงแหน และโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์และกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดาปรึกษากันต่อหน้าพระที่นั่งว่าจะทำอย่างไรให้การตัดถนนสายนี้สำเร็จลงได้ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์จึงทรงรับที่จะออกประกาศให้เจ้าของที่ดินออกจากที่ดิน หากเจ้าของที่ดินไม่ยอมรื้อก็ให้กระทรวงโยธาธิการแจ้งไปที่กระทรวงนครบาล และให้กระทรวงนครบาลเป็นผู้ให้กรมอัยการฟ้อง ทำให้การตัดถนนเยาวราชดำเนินการต่อไปได้
เมื่อแรกตัดถนนเยาวราชใหม่ๆ นั้น มีชาวจีนอยู่อาศัยกันหนาแน่น แม้ต่อมาถนนเยาวราชก็ยังคงมีความสำคัญ เพราะเป็นย่านร้านอาหารชั้นนำ ตึกที่สร้างสูงที่สุดตึกแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ก็สร้างที่ถนนเยาวราชเป็นแห่งแรก และมีการพลวัตทางสังคมเศรษฐกิจของไทยมาถึงปัจจุบันนี้


