ศิลปนาฏดุริยางค์ไทย ในรัชกาลที่ ๙
เป็นที่ทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นอัครศิลปินที่ทรงมีพระอัจฉริยภาพในศิลปะด้านต่างๆ
โดย...วรธาร ภาพ... เสกสรร โรจนเมธากุล
เป็นที่ทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นอัครศิลปินที่ทรงมีพระอัจฉริยภาพในศิลปะด้านต่างๆ เช่น ด้านจิตรกรรม ประติมากรรม การถ่ายภาพ งานหัตถศิลป์ และดุริยางคศิลป์ ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงเครื่องดนตรีหลายชนิด ทั้งทรงสนพระราชหฤทัยวิชาดนตรีและศึกษาอย่างลึกซึ้งจนสามารถเขียนโน้ตและการบรรเลงแบบคลาสสิก ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้มากมายโดยบรรเลงในรูปแบบต่างๆ ทั้งในลีลาของเพลงแจ๊ซ คลาสสิก เพลงสมัยนิยม บทเพลงขับร้อง
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการนาฏศิลป์และดุริยางค์ไทยอย่างที่สุดมิได้ ด้วยเหตุนี้ บริษัท อสมท จึงร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม องค์กรพันธมิตร น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จัดการแสดงชุดใหญ่ “ศิลปนาฏดุริยางค์ไทยในรัชกาลที่ ๙” ในงาน “๙ ตามพ่อสานต่อพระราชปณิธาน” ในวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) กล่าวว่า การแสดงครั้งนี้ได้รวบรวม ประยุกต์และสร้างสรรค์การแสดงใหม่ทั้งหมด โดยจะเป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยหลากหลาย
รูปแบบ 9 ชุดการแสดงสลับกับการสนทนาบนเวที ผสมผสานศิลปะการแสดงของไทยทุกแขนงอย่างลงตัว
ประกอบด้วย การแสดงชุดสักการะเทวราช การแสดงชุดนักษัตร การแสดงขับไม้บัณเฑาะว์และขับเสภา ชุด พุทธรักษาบูชาพ่อ การเสวนาหน้าม่านเรื่อง “ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับการนาฏศิลป์ไทย” การแสดงรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฑ์เกี้ยวนางเบญจกาย การแสดงชุดรับขวัญข้าว การบรรเลงขับร้องปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เรื่อง พระมหาชนก การแสดงชุดกรุงเทพฯ และการแสดงชุดคิดบวกสิปป์
“ทุกชุดถ่ายทอดเรื่องราวความรักความผูกพันของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมถ่ายทอดความจงรักภักดีและร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้สร้างความสุขความร่มเย็นให้กับชาติไทยมาตลอด 70 ปี โดยนำกระแสพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท มาดัดแปลงเป็นการแสดงสุดวิจิตรจากหัวใจชาวบัณฑิตพัฒนศิลป์เพื่อแสดงความจงรักภักดี”
ทรงห่วงศิลปะชั้นสูงจะสูญหาย
อ.จตุพร รัตนวราหะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์-โขน) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงห่วงใยศิลปวัฒนธรรมไทยมาก โดยเฉพาะนาฏศิลป์ไทย ครั้งหนึ่งกรมศิลปากรได้จัดการแสดงเกี่ยวกับเรื่ององค์พระพิราพเต็มองค์ ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูงทางด้านโขน ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดในช่วงหลังได้เสียชีวิตไปจนหมด เหลืออยู่คนเดียวคือ ครูรงภักดี (เจียร จารุจรณ) ศิลปินด้านการแสดงโขน ที่ตอนหลังไปรับราชการตำรวจในวัง
“ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีรับสั่งถาม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าองค์พระพิราพนี้ยังมีใครที่รำได้บ้าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้กราบทูลไปว่าตอนนี้ในกรมศิลปากรไม่มีคนที่รำได้เนื่องจากได้เสียชีวิตไปหมด พระองค์จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นจะต้องสืบสานต่อไปให้ได้ อย่าให้ขาดสูญ เพราะเป็นศิลปะชั้นสูงต้องรักษาไว้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงเชิญอธิบดีกรมศิลปากรมาปรึกษา ก็ได้รู้ว่ามีคนหนึ่งที่ยังรำได้คือ ครูรงภักดี แต่ตอนนั้นรับราชการเป็นตำรวจ ก็ให้เชิญมาถามว่ายังรำได้ไหม ครูรงภักดี (ตอนนั้นไม่ได้เป็นครูโขน) บอกว่ารำได้แต่ต้องให้ครูผู้เชี่ยวชาญช่วยดูความถูกต้อง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงเชิญคุณหญิงนัฏกานุรักษ์ (เทศ สุวรรณภารต) ผู้มีความรู้ความสามารถด้านการแสดงโขนและมีความรู้ในกระบวนรำหน้าพาทย์ มาต่อท่
ารำเพลงองค์พระพิราพให้ แต่ติดว่าเพลงพระพิราพคนที่จะรำได้นั้นต้องเป็นยักษ์และเป็นผู้ชาย คุณหญิงจึงให้สามีของท่านคือ พระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) อดีตเจ้ากรมมหรสพ เป็นผู้รำ และต่อเพลงนี้ให้กับครูรงภักดี ซึ่งครูรงภักดีรำได้ทุกอย่างถูกต้องเหมือนเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงมีรับสั่งให้ต่อท่ารำเพลงองค์พระพิราพให้กับครูกรมศิลปากรคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา ทำให้ประเทศไทยมีครูแขนงนี้มาจนถึงวันนี้”
อ.จตุพร กล่าวต่อว่า รุ่นแรกที่ได้รับการถ่ายทอดท่ารำ หรือบรรเลงเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ มีอยู่ 5 คน รุ่นต่อมามี 7 คน และเขาเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งในการต่อท่ารำองค์พระพิราพนั้น จะทำพิธีต่อกันที่วังหน้าและมีการรำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่เสด็จฯ มาทรงเป็นประธาน ได้ทอดพระเนตร เสร็จแล้วพระองค์จะทรงเจิมและพระราชทานน้ำสังข์ให้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจลืมในวันนั้น คือในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสว่า “ฉันให้แล้วต่อไปก็ต้องไปทำกันเอง” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงห่วงใยนาฏศิลป์ไทยอย่างมาก
สืบสานงานโขน
อีกหนึ่งความภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตของ อ.จุตพร คือ การได้ถวายการสอนโขนในตัวละครที่เป็นยักษ์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ) อ.จุตพร เล่าว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงสนพระทัยในศิลปะการแสดงโขน ครั้งหนึ่งทรงเรียนโขนในตัวละครที่เป็นลิงกับครูกรี วรศะริน (ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงโขน) ผู้มีความสามารถในการแสดงโขนทุกประเภท โดยเฉพาะตัวลิงในบทหนุมาน ที่สามารถแสดงได้เยี่ยมและมีฝีมือเป็นเลิศ
“ผมทราบจากครูในวังสวนจิตรลดาเล่าให้ฟังว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสนพระทัยในศิลปะการแสดงโขนมาก เริ่มแรกทรงหัดโขนในตัวละครลิงอยู่พักหนึ่ง แล้วทรงหยุดไป ต่อมาทรงหันมาเรียนโขนยักษ์ เพราะทรงเห็นว่าท่ารำของยักษ์มีความสง่างามมากกว่า ซึ่งก่อนที่จะทรงหันมาเรียนโขนยักษ์ ทราบว่าพระองค์ท่านเคยเสด็จฯ ทอดพระเนตรการแสดงโขนครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นผมเล่นเป็นมัยราพณ์สะกดทัพ พระองค์ทอดพระเนตรแล้วทรงสนพระทัย เลยขอเปลี่ยนมาเรียนยักษ์ อันนี้ครูในวังสวนจิตรเล่าให้ฟัง
หลังจากนั้นทางวังก็ทำหนังสือมาที่อธิบดีกรมศิลปากรให้ส่งครูไปถวายการสอน และเป็นบุญของผมที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในชีวิตนี้” อ.จตุพร เล่าย้อนถึงการได้รับหน้าที่ถวายการสอนโขนยักษ์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ความสำคัญของดุริยางค์ไทย
พระ ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ศิลปินแห่งชาติ และอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (ปัจจุบันอยู่ในสมณเพศ โดยอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่คนไทยไม่รู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อดุริยางค์ไทย ยกตัวอย่าง ในกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ในการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระกฐินหลวง พระองค์ท่านโปรดให้มีดนตรีวงปี่กลอง ซึ่งมีปี่ชวาและกลองแขกบรรเลงในกระบวนเรือด้วย
“อีกพระราชพิธีหนึ่งคือ จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ก็ทรงฟื้นฟูขึ้นมา และโปรดให้มีดนตรีประกอบ ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครทราบว่า เวลาที่พระยาแรกนาขวัญประกอบพิธีไถนา 9 รอบนั้น 3 รอบแรกที่เรียกว่า ไถดะ จะบรรเลงเพลงเชิดฉาน สามรอบต่อมาไถดะโดยขวาง บรรเลงเพลงโคมเวียน ครั้นเมื่อพระยาแรกนาไถกลบครั้งสุดท้าย 3 รอบ โดยหว่านธัญพืชไปด้วยพร้อมๆ กัน จะบรรเลงเพลงปลูกต้นไม้ จนกว่าจะเสร็จพิธี ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทราบ แต่รัชกาลที่ 9 โปรดให้มีการฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้ โดยมอบให้ อ.มนตรี ตราโมท นักดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติทำดนตรีประกอบในการพระราชพิธีนั้นอย่างสมบูรณ์”
อีกเรื่องหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระเมตตาต่อวงการดุริยางค์ไทย คือ ทรงมีพระราชปรารภให้รวบรวมรักษาเพลงไทยที่มีอยู่ไม่ให้สูญหาย ทางกรมศิลปากรจึงได้ทำโน้ตเพลงไทยไว้ประมาณร้อยเพลง ตั้งแต่ปี 2477-2481 โดยการประชุมครูดนตรีทั่วประเทศ ในทุกสำนักของดนตรีใหญ่ๆ ในการนี้พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ทำโน้ตดนตรีไทยเล่มหนึ่งขึ้นมา
พระ ดร.สิริชัยชาญ กล่าวต่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ยังทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องของการศึกษาปี่ใน โดยครั้งหนึ่งพระองค์ได้รับการถวายปี่ จาก เทียบ คงลายทอง (ผู้ที่มีความสามารถในการบรรเลงดนตรีได้ทุกเครื่องมือ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ปี่ ซึ่งกลึงเองด้วย) ในโอกาสนั้นครูเทียบถวายวิธีการเป่าด้วย แต่พระองค์มิได้ทรงในขณะนั้น แต่ตอนหลังครูปี๊บ คงลายทอง (ลูกชาย) เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อบอกว่าได้ยินเสียงปี่บนพระตำหนัก
“จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นอกจากทรงพระปรีชาในการทรงดนตรีหลายประเภท เช่น ทรงแซกโซโฟนและเครื่องดนตรีอื่นๆ ของฝรั่งแล้ว ก็ทรงศึกษาในเรื่องปี่ใน (ปี่ที่มีขนาดใหญ่และมีเสียงต่ำ) ของไทยด้วย ไม่เพียงแค่นี้พระองค์ท่านโปรดให้ทำวิจัยเรื่องความถี่ของเสียงดนตรีไทย โดยให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการ จนได้เป็นหนังสือออกมา แต่ก็ไม่มีคนใช้กัน ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้โปรดให้ศึกษาทำวิจัยต่อ จนกระทั่งปัจจุบันออกมาชัดเจนว่า เสียงดนตรีไทยของเรามีทั้งระดับสูง กลาง และต่ำ ในการเทียบเสียงไม่ใช้เสียง โด แต่ใช้เสียง ลา เป็นตัวเทียบ และใช้ระนาดทุ้มเหล็กในการเทียบเสียง ซึ่งเป็นความทันสมัยมาก”
พระ ดร.สิริชัยชาญ กล่าวว่า ปัจจุบันเราได้ทำเครื่องที่ช่วยเทียบเสียงขึ้นมาใช้ส่วนหนึ่งแล้ว ทำให้ดนตรีไทยมีมาตรฐานพอสมควร แต่สิ่งสำคัญพระองค์โปรดให้รักษาไว้ ไม่ต้องเทียบเข้าหากันทั้งประเทศ แต่ถ้ามีงานไหนจะต้องเทียบเข้าก็เทียบได้ แต่พระราชประสงค์คือให้รักษาสืบสานไว้เพราะนี่คือภูมิปัญญาไทยของแต่ละที่


