posttoday

พระราชประเพณี ในการสถาปนาสังฆราช

08 มกราคม 2560

ราชกิจจานุเบกษา หน้า 2 เล่ม 134 ตอน 2 ก ประกาศวันที่ 6 ม.ค. ให้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560

โดย...ส.คนจริง

ราชกิจจานุเบกษา หน้า 2 เล่ม 134 ตอน 2 ก ประกาศวันที่ 6 ม.ค. ให้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 มีผลบังคับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับที่ 3 นี้ มี 3 มาตรา ความสำคัญอยู่ที่มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ตามโบราณราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา สมควรตราพระราชบัญญัติให้สอดคล้องเพื่อเป็นการสืบทอดและธำรงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีดังกล่าว โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

วันที่ 10 ม.ค. 2560 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะรายงานการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.สงฆ์ ต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม

โบราณราชประเพณี

เมื่อดูโบราณราชประเพณีในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชว่ามีมาอย่างไร  ต้องอ่านบันทึกของพระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน หรือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ที่พิมพ์ในหนังสือพระผู้สำรวมพร้อม เป็นที่ระลึกบำเพ็ญพระกุศล คล้ายวันประสูติ เจริญพระชันษา 99 ปี 3 ต.ค. 2555 หน้า 55 เรื่องพหูสูต

กองบรรณาธิการหนังสือดังกล่าวเขียนเล่าว่า ยังมีต้นฉบับลายมือเขียนดินสอของพระมหาเจริญ(สุวฑฺฒโน) อยู่จำนวนหนึ่ง ลงวันที่ไว้ระหว่างปี 2487-2489 เอกสารกลุ่มนี้น่าสนใจยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใฝ่ศึกษาและการฝึกฝนตนเองของพระมหาเจริญ เปรียญ 9 ประโยครูปนี้ได้เป็นอย่างดี บันทึกทั้งหลายนั้น ส่วนมากเป็นบันทึกเกี่ยวกับพระธรรมเทศนาที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงแสดง ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหารที่น่าสนใจยิ่ง นอกจากบันทึกพระธรรมเทศนาแล้ว หนังสือพระผู้สำรวมพร้อม บรรยายว่า พระมหาเจริญยังจดแม้แต่เกร็ดประวัติต่างๆ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงเล่าประทาน เช่นคืนวันที่ 6 ธ.ค. 2487 ท่านเจ้าพระคุณฯ (ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า วันที่ 11 ม.ค. 2488) ได้มาที่กุฏิ เล่าเรื่องเก่าหลายเรื่องดังต่อไปนี้ (ตัวสะกดตามต้นฉบับ)

7 หลักเกณฑ์การตั้งพระสังฆราช

ตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ขึ้นไปไม่ได้ค้น แต่ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งพระเถระที่พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ของพระองค์ ถ้าไม่มีก็ไม่ทรงตั้ง

ในรัชกาลที่ 4 ทรงตั้งกรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ เพราะทรงนับถือเป็นพระอาจารย์ เมื่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์แล้ว ไม่ได้ทรงตั้งใครอีกตลอดรัชกาล

ในรัชกาลที่ 5 จะทรงตั้งกรมสมเด็จพระปวเรศฯ พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ แต่กรมสมเด็จฯ ทรงขอผัดให้ไหว้พระสวดมนต์ไปก่อน จวบจนจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงรับพระมหาสมณุตฯ ทรงรับประมาณเกือบปี หรือปีกว่าก็สิ้นพระชนม์  รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชสา ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (พระศพกรมสมเด็จฯ เอาไว้นานจนสมเด็จพระสังฆราชสาสิ้นพระชนม์ลงอีก เข้าพระเมรุเดียวกันกับเจ้านายอีกหลายพระองค์) เมื่อสมเด็จพระสังฆราชสาสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ไม่ทรงตั้งอีกตลอดรัชกาล

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงรับมหาสมณุตฯ (เป็นสมเด็จพระสังฆราช) ในรัชกาลที่ 6 เพราะทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ในรัชกาลที่ 6

จากบันทึกนี้ ผู้เขียนพลิกดูประวัติการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา มีดังนี้

รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์

1.สมเด็จพระสังฆราช (สี) เป็นพระเถระที่มีปฏิปทามั่นคงในพระธรรมวินัย ยอมขัดกระแสพระดำรัสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จนถูกถอดจากสังฆราช เมื่อรัชกาลที่ 1 ปราบดาภิเษก จึงสถาปนาอีกครั้ง

2.สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระเถระที่มีบทบาทเด่นในการสังคายนานำพระไตรปิฎกเมื่อปี 2331 เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพนรัตน วัดมหาธาตุ

รัชกาลที่ 2 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช 3 พระองค์

3.สมเด็จพระสังฆราชองค์ (มี) มีบทบาทตั้งแต่ก่อนได้รับการสถาปนาคือ เมื่อปี 2359 ส่งพระสมณทูตไปลังกา ฟื้นฟูพิธีวันวิสาขบูชา และปรับปรุงการศึกษาพระปริยัติธรรม

4.สมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) พระเถระรูปนี้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในรัชกาลที่ 2 ในขณะที่ดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงอิศรสุนทร

5.สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์

6.รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาสมเด็จพระพนรัตน (นาค) วัดราชบูรณะ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 6 และสิ้นพระชนม์ (ปี 2392) ในรัชกาลที่ 3 แต่รัชกาลที่ 3 ยังไม่ทันสถาปนาสังฆราชพระองค์ใหม่ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน

7.รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช 1 พระองค์ คือ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน ที่เป็นพระราชญาติและพระอาจารย์

8.รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาสังฆราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จกรมพระยาพระปวเรศฯ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราช (สา) ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชสาสิ้นพระชนม์ 11 ม.ค. 2442 ปล่อยว่าง จนถึงสวรรคต 23 ต.ค. 2453

9.รัชกาลที่ 6 ทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เนื่องด้วยทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ 1 พระองค์ เมื่อสิ้นพระชนม์ ทรงสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11

10.รัชกาลที่ 7 ไม่ได้สถาปนาสังฆราช เพราะพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ที่ได้รับพระราชทานสถาปนาในรัชกาลที่ 6 ทรงพระชนมายุถึงรัชกาลที่ 8

11.รัชกาลที่ 8 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ คือ 1.สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ และ 2.กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร

12.รัชกาลที่ 9 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชทั้งสิ้น 6 พระองค์ คือ 1.สมเด็จพระสังฆราช (ปลด) วัดเบญจมบพิตร 2.สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ 3.สมเด็จพระสังฆราช (จวน) วัดมกุฏกษัตริยาราม 4.สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น) วัดพระเชตุพน 5.สมเด็จพระสังฆราชวาสน์ วัดราชบพิธ 6.สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ) วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การปกครองสงฆ์อนุวัตรตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2484 และ พ.ศ. 2505

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เมื่อดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงอุปสมบทเมื่อวันที่  6 พ.ย. 2521 โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์(สิ้นพระชนม์ปี 2532) สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ ต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)  เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (สิ้นพระชนม์ปี 2556) และสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์) วัดจักรวรรดิราชาวาส  เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา