posttoday

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

18 ธันวาคม 2559

อดีตอันรุ่งโรจน์ยุคสมัยรัชกาลที่ 9 กลับมามีชีวิตอีกครั้งที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 จ.กาญจนบุรี

โดย...รอนแรม

อดีตอันรุ่งโรจน์ยุคสมัยรัชกาลที่ 9 กลับมามีชีวิตอีกครั้งที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 จ.กาญจนบุรี สถานที่ที่จะให้คนไทยได้ไปสัมผัสรากเหง้าความเป็นไทย ผ่านสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีตช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชาวไทยสมัยโบราณ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสถึงแก่นประวัติศาสตร์มากกว่าการชื่นชมเศษซากหรือร่องรอยทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากอดีตถึงปัจจุบัน

พื้นที่กว่า 60 ไร่ด้วยงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็นแนวคิดของ พลศักดิ์ ประกอบผู้ก่อตั้งที่สนใจประวัติศาสตร์ยุค ร.ศ. 124 ซึ่งเป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบนแผ่นดินสยามที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในยุคต่อไป ทั้งการประกาศเลิกทาส การแผ่ขยายอิทธิพลจากโลกตะวันตกเข้ามาในแผ่นดินสยาม และนำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตคนไทยดั้งเดิมกับวัฒนธรรมตะวันตก จนได้รับการนิยามว่าเป็นยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ โดยชื่อ มัลลิกา เป็นชื่อแม่น้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิรวดีในเมียนมาที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ด้วยกัน

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ภายในเมืองประกอบด้วยเรือนไทย 4 ประเภท ซึ่งสะท้อนภาพสถานะของผู้อยู่อย่างชัดเจน เริ่มจาก เรือนเดี่ยว เป็นเรือนชาวบ้านชนชั้นกรรมาชีพ ชาวนา มีหน้าที่ผลิตปัจจัยพื้นฐานในการยังชีพ เรือนนี้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภูมิปัญญาชาวบ้าน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งต่อไปใช้ในเรือนครัว กระบวนการสี และตำข้าวแบบโบราณ

เรือนคหบดี มีความพิเศษอยู่ที่ เรือนครัว สะท้อนวิถีชีวิตการทำอาหารอย่างวิจิตรของคนสมัยก่อน โดยกิจกรรมของนักท่องเที่ยวจะเน้นไปที่งานฝีมือ อย่างงานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลักผลไม้ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะที่หาชมได้ยาก

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

เรือนหมู่ เป็นเรือนรับแขกบ้านแขกเมืองของคหบดี โดยปกติเรือนเหล่านี้มักมีคณะนาฏศิลป์ของตัวเองสำหรับรับแขก รวมทั้งความวิจิตรบรรจงของสำรับกับข้าวไทยที่ขึ้นชื่อทั้งรสชาติและหน้าตาอาหาร ที่นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ เพราะเป็นเรือนหมู่ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ปิดท้ายด้วย เรือนแพ ที่ตั้งของร้านค้า จำลองบรรยากาศย่านการค้าในอดีตบริเวณริมน้ำ รายล้อมไปด้วยร้านค้า เช่น ร้านกาแฟตงฮู ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เพราะมีการนำเข้าเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามาใช้ ร้านข้าวแกง ที่สร้างจุดขายได้อย่างน่าสนใจด้วยการนำเมนูข้าวแกงที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรด มานำเสนอเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารแบบไทยแท้แบบดั้งเดิม รวมถึงร้านจำหน่ายของชำร่วย เพื่อเป็นตัวแทนความทรงจำให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

นอกจากนี้ เมืองมัลลิกายังมีการแสดงโชว์เพื่อให้เห็นวิถีแบบไทยแท้ โดยได้จำลองให้เมืองนี้มีประชากรราว 400 คน ประกอบด้วยกลุ่มคนใน 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ และวัยรุ่น แต่งกายโบราณ และดำรงชีวิตในแต่ละวันเสมือนจริงในยุคสมัยนั้นให้เห็นภาพวัฒนธรรมผ่านการแสดงเสมือนจริง

สำหรับอาหารไทยโบราณ นักท่องเที่ยวจะได้ชิมอาหารไทยหายาก เช่น ขนมเสน่ห์จันทน์ ขนมจ่ามงกุฎ ขนมทองเอก ขนมหยกมณี ขนมบุหลันดั้นเมฆ ขนมน้ำดอกไม้ ขนมไข่ปลา เป็นต้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมขั้นตอนการผลิตอย่างละเอียด ผ่านการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ระหว่างการเดินชม นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เป็นคนไทยโบราณสมัย ร.5 ให้เข้ากับบรรยากาศและอรรถรสในการรับชม สถานที่แห่งนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตของผู้คนในยุคหลังเลิกทาสไว้ในรูปแบบ Living Heritage หรือมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังมีลมหายใจ รวมถึงส่งต่อความทรงจำในอดีตที่เกือบเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง

เมืองมัลลิกา ร.ศ. 214 การันตีว่าเป็นหนึ่งเดียวในไทยและแห่งเดียวในโลก เปิดให้บริการทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ โดยจำหน่ายบัตรสำหรับผู้ใหญ่ 150 บาท และเด็ก 75 บาท หากนักท่องเที่ยวจะเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารโบราณและชมการแสดง มีบัตรจำหน่ายเหมารวม ผู้ใหญ่ 550 บาท และเด็ก 350 บาท (เด็กมีความสูงต่ำกว่า 80 ซม. เข้าฟรี) สอบถามรายละเอียดโทร. 034-540-884

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

 

ข่าวล่าสุด

คลังย้ำ! คนละครึ่งพลัส ใช้สิทธิให้ทัน ก่อนปิดโครงการ 31 ธ.ค.68