แอฟริกา การผจญภัยที่เต็มไปด้วยสีสัน
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ ไม่เคยลืมเลือน สำหรับทีมงานโลก 360 องศา
โดย...ทีมงานโลก 360 [email protected]
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ ไม่เคยลืมเลือน สำหรับทีมงานโลก 360 องศา คือการได้ไปเยือนทวีปแอฟริกา ทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปเอเชียของเรานี่เอง แต่เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ผู้คน ประเพณีวัฒนธรรม และความแปลกที่อาจจะไม่ใหม่ แต่เป็นวิถีดั้งเดิมของมนุษย์ที่เชื่อมต่อไม่ติดกับคนรุ่นปัจจุบัน สามารถหาดูได้ที่แอฟริกา ที่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักค้นหาอย่างแท้จริง
การค้นหาเพื่อหวังจะค้นพบประสบการณ์อันล้ำค่าในทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาบอกขานผู้คนเริ่มขึ้นเมื่อทีมงานโลก 360 องศา เดินทางไปประเทศแอฟริกาใต้ครั้งแรกในปี 2548 ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้สุดของทวีป และถือได้ว่ามีความเจริญ และมีการพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศในทวีปนี้ การค้นพบแรกคือความแปลกของเมืองหลวง ที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่า โจฮันเนสเบิร์ก เป็นเมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้ ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศและมีชื่อเสียง แต่แท้ที่จริงแล้วประเทศนี้มีถึง 3 เมืองหลวง คือ 1.กรุงพริทอเรีย (Pretoria) เป็นเมืองหลวงด้านการบริหาร 2.เคปทาวน์ (Cape Town) เป็นเมืองหลวงด้านนิติบัญญัติ และ 3.บลูมฟอนเทน (Bloemfontein) เป็นเมืองหลวงด้านตุลาการ ซึ่งคงเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีระบบเมืองหลวงลักษณะเช่นนี้
ประเทศแอฟริกาใต้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ก่อนที่จะได้รับเอกราชเมื่อปี 2474 ดังนั้นชาติพันธุ์จึงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอย่างชัดเจน คือ กลุ่มแรกเป็นยุโรปผิวขาวที่สืบเชื้อสายมาจากชาวดัตช์ ชาวอังกฤษ และชาวฝรั่งเศส ที่เข้ามาตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคม ส่วนกลุ่มที่สองก็คือชนพื้นเมืองเดิม เช่น ชาวเผ่าซูลู ซึ่งเป็นผิวสี กลุ่มที่สามจะเป็นลูกผสม รวมทั้งก็ยังมีชาวอินเดียและชาวมาเลย์ที่อพยพเข้ามาตั้งแต่อดีต นอกจากกิจกรรมการเยี่ยมชมวิถีชนเผ่าและเที่ยวชมสัตว์ป่าซาฟารี สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายในแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะที่เมือง “เคปทาวน์” ซึ่งมีภูมิประเทศที่สวยงาม และมีอากาศบริสุทธิ์ ด้วยความที่ตัวเมืองเคปทาวน์ตั้งอยู่บนแผ่นดินที่มีลักษณะคล้ายอ่าง มีภูเขาล้อมรอบ จึงทำให้เป็นเมืองที่มีฉากหลังเป็นธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะแนวเขายอดตัดเป็นแนวยาวขนานไปกับขอบฟ้าคล้ายโต๊ะ จึงถูกเรียกว่า Table Mountain ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งภูเขาที่สวยงามอันดับต้นๆ ของโลก และอีกจุดเด่นคือ ภูเขาแห่งนี้มีความหลากหลายทางพืชพันธุ์กว่า 2,200 ชนิด ส่วนอีกยอดเขาสูงที่โอบล้อมเมืองเคปทาวน์ เรียกว่า Devil’s Peak
จากเมืองเคปทาวน์นั่งเรือออกไปจากชายฝั่งไม่ไกลนัก ก่อนที่จะไปสิ้นสุดที่แหลมกู๊ดโฮป จะพบเกาะเล็กๆ ที่เป็นเกาะที่อยู่อาศัยของนกเพนกวินจากขั้วโลกใต้ นอกจากนั้นก็ยังมีเกาะแมวน้ำ ซึ่งเป็นเกาะหินแกรนิตขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลกันนัก ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในเรือ นอกจากจะได้เห็นแมวน้ำนับร้อยนับพันตัวแล้ว บางครั้งจะเห็นภาพฉลามขาวว่ายเวียนอยู่รอบเกาะ ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้อีก เพราะเจ้าฉลามขาวพวกนี้มาไล่ล่าเหยื่อคือแมวน้ำนั่นเอง
หลังจากการได้ไปเยือนแอฟริกาใต้ ประเทศที่จุดประกายให้เราเกิดความหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของทวีปนี้อีกหนึ่งปลายทางก็คือ ประเทศเคนยา และเมื่อเดินทางไปถึงเคนยาก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง นอกจากคุณจะได้สัมผัสเสน่ห์ของทุ่งซาฟารีอย่างเต็มอิ่มแล้ว ที่ประเทศนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถล่องเรือในทะเลสาบไนวาซา เพื่อชมฝูงฮิปโปนับร้อยนับพันตัวได้แบบใกล้ชิด และการล่องเรือยังได้ชมนกชมไม้หายากของทวีปแอฟริกาอีกด้วย คำว่าตื่นตาตื่นใจคงน้อยไปสำหรับที่นี่ สีสันความตื่นเต้นที่ทำให้ผู้มายืนหัวใจเต้นแรงยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ที่นี่ยังมีที่สุดของที่สุดก็คือเขตอนุรักษ์แห่งชาติมาไซมารา (Masai Mara National Reserve) สถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์ท่องซาฟารีในรูปแบบขับรถไล่ตามหาสัตว์ และเที่ยวชมสัตว์ป่ากลางแจ้งที่เรียกว่า “เกมไดรฟ์” (Game Drive) ถือเป็นกิจกรรมเด่นของการมาที่นี่ของนักท่องเที่ยว
เคนยาเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยชนเผ่ากว่า 40 เผ่า แต่เผ่าที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ เผ่ามาไซ ชนเผ่ามาไซจะวัดฐานะความร่ำรวยกันที่จำนวนวัว ดังนั้นหนุ่มมาไซคนไหนที่มีวัวมาก จะเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวๆ เป็นพิเศษ เมื่อวัวเป็นสิ่งมีค่ายิ่ง หนุ่มมาไซจึงต้องคอยดูแลปกป้องอันตรายจากสัตว์ป่า สร้างความเป็นนักสู้อยู่ในสายเลือดไปในตัว ว่ากันว่าหนุ่มมาไซบางคนถึงกับกล้าต่อสู้กับสิงโตเลยทีเดียว นอกจากสีสันจากสัตว์ป่าและทุ่งหญ้าแล้ว ท้องทะเลของเคนยานั้นก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหาดวาตามู (Watamu Beach) เป็นอีกหนึ่งชายหาดที่มีชื่อเสียง ด้วยความงดงามของท้องฟ้าสีสดและน้ำทะเลสีเข้ม แต่งแต้มด้วยฉากวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวา
อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ (Serengeti National Park) ของประเทศแทนซาเนีย เป็นอีกสถานที่ที่แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ชื่อเซเรนเกติ มาจากคำว่า ไซรินกิตู (Siringitu) ในภาษามาไซ ที่แปลว่า “สถานที่ซึ่งแผ่นดินเคลื่อนที่ตลอดกาล” ซึ่งน่าจะมาจากความกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดของที่ราบแห่งนี้นั่นเอง ในช่วงหน้าแล้งที่เซเรนเกติแห่งนี้จะได้เห็นภาพฝูงสัตว์กินพืช เช่น ไวด์อาบีส (Wildebeest) ม้าลาย และสัตว์จำพวกกวาง ยกขบวนอพยพข้ามฝั่งไปยังมาไซมาราในประเทศเคนยา ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า The Great Migration การเดินทางเข้าไปยังเขตอนุรักษ์แห่งชาติมาไซมาราของเคนยา และอุทยานแห่งชาติเซเรนเกติของแทนซาเนีย ต้องนั่งเครื่องบินเล็กไปเท่านั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก แต่ก็ยังมีสถานที่ที่เป็นทางเลือกที่สามารถนั่งรถยนต์เข้าไปได้คือ อุทยานแห่งชาติมิกูมิ (Mikumi National Park) อีกหนึ่งประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจให้ทีมงานคือ รอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจของผู้คนชาวแทนซาเนียที่เป็นคนซื่อ เปิดเผย และเปิดรับไมตรีจากชาวต่างชาติ แทนซาเนียจึงเป็นประเทศหนึ่งที่สงบและปลอดภัย โดยเฉพาะที่เมือง “ดาเอสซาราม” เมืองท่าและเมืองหลวงเก่าของแทนซาเนีย
ทุกวันนี้เรายังระลึกนึกถึงความเป็นมิตรไมตรีจากน้ำใจอันบริสุทธิ์ของผู้คนจากดินแดนนี้อยู่เสมอ อีกหนึ่งความงดงามที่ต้องบันทึกไว้ในหัวใจ ติดตามรับชมเรื่องราวเพิ่มเติมได้ในรายการโลก 360 องศา ทาง ททบ.5 ทุกวันเสาร์ เวลา 21.20 น.


