‘คิดแล้วต้องทำเลย’ ศิรวัฒน์ เทพเจริญ
ถือคติคิดแล้วอย่ารอช้า ต้องลงมือทำ มิเช่นนั้นไอเดียที่ถูกทิ้งไว้กลางทางวันนี้ วันหน้าก็จะกลายเป็นไอเดียของคนอื่น
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ ทวีชัย ธวัชนปกรณ์
ถือคติคิดแล้วอย่ารอช้า ต้องลงมือทำ มิเช่นนั้นไอเดียที่ถูกทิ้งไว้กลางทางวันนี้ วันหน้าก็จะกลายเป็นไอเดียของคนอื่น ด้วยเหตุนี้แม้จะอายุแค่ 20 ปี แต่ มันนี่-ศิรวัฒน์ เทพเจริญ ในฐานะทายาทคนเล็กของศิริญา เทพเจริญ เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์แห่งอาณาจักร "ณุศาศิริ" จึงไม่รอช้า พร้อมเดินหน้านำไอเดียธุรกิจที่มีมาต่อยอดให้เป็นจริง ด้วยการสวมหมวกกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิสทีเรีย ผู้ดำเนินกิจการดูแลและทำความสะอาดเรือยอชต์ เครื่องบินส่วนตัว ซูเปอร์คาร์ และเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลก โดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและการบริการระดับมืออาชีพ ที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ควบคู่ไปกับสวมบทบาทเป็นนักศึกษาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ
ไอเดียดี เกิดแล้วรอไม่ได้
“ตอนนี้ ถ้าถามว่าหน้าที่หลักของผมคืออะไร คำตอบคือ เรียนหนังสือครับ แต่ที่ผมใจร้อนตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เพราะผมคิดว่าสำหรับคนทำธุรกิจนั้น นอกจากจะมีไอเดียที่สดใหม่แล้ว ยังต้องลงมือทำไว ดังนั้นเมื่อเห็นโอกาสในเชิงธุรกิจตรงหน้าแล้วไม่ทำ มัวรั้งรอเรียนจบค่อยทำ ถึงตอนนั้นคงไม่ทัน เพราะผมเชื่อว่าไอเดียของคนเราเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าคิดแล้วไม่ทำ ปล่อยไว้ คนอื่นก็เอาไปทำ" ผู้บริหารหนุ่มฉายภาพทัศนคติแง่บวก ที่มีต่อภารกิจใหม่ในชีวิตของตัวเอง ก่อนจะพาเราเข้าไปเรียนรู้โลกธุรกิจกิจของเขาทีละน้อย
"ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่า การที่ผมไม่ได้อยู่เมืองไทย จะเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ไม่เพียงช่วยย่อโลกใบนี้ให้แคบลง แต่ยังช่วยให้การสื่อสารไร้พรมแดน เพราะฉะนั้นต่อให้ผมเรียนอยู่อังกฤษ ก็ยังดูแลธุรกิจที่เมืองไทยได้แบบไม่สะดุด เพราะถ้าจะประชุมกับทีมงาน ผมก็สามารถเฟซไทม์มา หรือมีเอกสารหรือเรื่องด่วนอะไรเราก็ติดต่อกันได้ง่ายมาก เพียงแค่ผมอาจจะต้องบริหารจัดการเวลาของตัวเองมาดูแลงานในส่วนนี้ด้วย”
มาถึงตรงนี้ มัมนี่ถือโอกาสเฉลยถึงที่มาของไอเดียธุรกิจ ที่อาจยังไม่คุ้นหูสำหรับลูกค้าชาวไทยว่า มีที่มาจากตัวเขาและคนใกล้ตัวเป็นผู้จุดประกาย มันนี่ยอมรับว่า เขาเป็นพวกเจ้าระเบียบ รักความสะอาดและอยากให้ของใช้ที่รักดูดีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะของใกล้ตัวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเฟอร์นิเจอร์ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดไอเดียว่าในเมืองไทยน่าจะมีคนที่คิดแบบเขาอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นคงจะดี ถ้าจะมีบริการจากผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำความสะอาด และปกป้องเฟอร์นิเจอร์ภายใน มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยดูแลสิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจให้กับคนเหล่านั้น ได้คงอยู่และดูใหม่ตลอดเวลา
“ผมเชื่อว่ามีคนที่คิดแบบผมเยอะนะ อย่างคุณพ่อผม ท่านก็จะมีเฟอร์นิเจอร์ที่รักอย่าง โซฟาตัวโปรดที่จะไม่อนุญาตให้ใครมานั่งดื่มไวน์ เพราะกลัวจะทำเลอะ หรืออย่างเพื่อนผม เวลาไปล่องเรือยอชต์ พอฝนตกที เราต้องช่วยกันขนเฟอร์นิเจอร์เข้ามาเก็บในเรือ เพราะกลัวเฟอร์นิเจอร์จะเสียหาย ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเหล่านี้เหมือนยิ่งตอกย้ำไอเดียของผมว่า เป็นจริงได้”
เมื่อได้ไอเดียการทำธุรกิจแล้ว มันนี่ จึงเดินหน้าเฟ้นหาทีมงาน สร้างทีมช่างที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน เสริมทัพด้วยนวัตกรรมการทำสะอาด และปกป้องเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ เพื่อดูแลสินทรัพย์ล้ำค่าของลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งหลังจากเปิดตัวมาได้พักใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มาถูกทาง ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี หลังจากเติบโตมาสักระยะ ก็ถึงเวลาแตกกิ่งก้าน ล่าสุด มันนี่แตกไลน์ธุรกิจแรกในชีวิต ไปสู่การให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ ในนาม Nusa Aviation Charterd by Visterior
“ผมเชื่อว่า มีหลายคนที่เป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัว แต่ไม่ได้ใช้ อาศัยเช่าที่จอดไว้แถมยังต้องเสียเงินค่าบำรุงรักษาปีละมหาศาล ขณะที่นักธุรกิจบางคนเวลาจะเดินทางอยากไปด้วยเครื่องบินส่วนตัวมากกว่าเครื่องบินโดยสาร เพื่อหาจุดที่ลงตัว ผมจึงนำเสนอบริการใหม่ที่เราเข้ามาเป็นตัวกลางช่วยบริหารจัดการตรงนี้ให้พูดง่ายๆ คือ เอาเครื่องบินของคนอื่นที่จอดไว้เฉยๆ มาบริหารต่อ ด้วยการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าโดยตรง เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถออกแบบโปรแกรมการเดินทางเองได้ สามารถเลือกจุดหมายปลายทางเเละเวลาออกเดินทางด้วยตัวคุณเอง โดยทางเราจะจัดเตรียมนักบิน พนักงานต้อนรับ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้ให้”
แม้จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่ยังไม่เรียนไม่จบ แต่มันนี่ยังยืนยันว่า ในฐานะทายาทคนเล็ก เขาไม่ลืมที่จะกลับมาช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ด้วยการสานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของที่บ้าน ซึ่งเขาตั้งใจบริหารควบคู่ไปกับการทำธุรกิจส่วนตัว
ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นของหนุ่มหล่อไฟแรงตรงหน้า ยามพูดถึงเส้นทางอนาคตที่วางไว้ ชวนให้สงสัยไม่ได้ว่า ในเมื่อมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนว่าจะกลับมาเป็นนักธุรกิจ ถึงขนาดเคยมีแมวมองมาทาบทามให้เข้าวงการก็ยังปฏิเสธ แล้วเหตุใดเขาจึงแตกแถวจากสเต็ปชีวิตของผู้บริหารทั่วไป ที่มักเลือกเรียนด้านบริหาร หรือธุรกิจมาโดยตรง มาเรียนด้านสถาปัตย์กรรมแทน งานนี้มันนี่ไม่รอช้ารีบไขข้องใจทันทีว่า เป็นเพราะดันไปตกหลุมรักในบรรยากาศและสภาพแวดล้อมการทำงานแบบสถาปนิกจนถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบ
“สมัยเด็กคุณแม่ของผมมีบริษัทออกแบบ ผมชอบไปเล่นกับหมาตัวใหญ่ที่บริษัทของคุณแม่ พอไปทุกวันก็เลยได้ซึมซับการทำงานของสถาปนิกโดยไม่รู้ตัว ในมุมมองของผมตอนนั้น ผมมองว่านี่คืออาชีพที่สนุกและน่าสนใจมากๆ ใครจะคิดว่าภาพร่างของตึกหรืออาคารที่อยู่ในกระดาษ วันหนึ่งจะสามารถกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างจริงๆ ได้ ผมเลยเลือกเรียนทางนี้ และตั้งใจว่าพอเรียนจบจะหาประสบการณ์ทำงานด้านนี้สักพัก ผมอยากทำงานกับสถาปนิกเก่งๆ ซึ่งเหตุผลของผมไม่ใช่เพราะพอชื่นชมผลงานการออกแบบของใคร ก็อยากไปทำงานกับเขานะครับ แต่ผมอยากเรียนรู้กระบวนการคิดของเขามากกว่า ซึ่งผมมองว่าการคิดเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำงาน”
มันนี่ ยอมรับว่า ตั้งแต่เด็กเขาไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่อาศัยความขยันเข้าแลก ทำให้สามารถมีผลการเรียนที่น่าพอใจ และสอบเข้ามหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ที่อังกฤษได้ คุณพ่อจึงยอมให้ลูกชายคนเล็กเรียนต่อที่อังกฤษ ทั้งที่ตามปกติแล้วพี่น้องทุกคนเมื่อจบไฮสคูลจากอังกฤษ ต้องกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย
“ตอนเด็กๆ ผมดื้อมากนะ แต่พอไปอยู่ที่อังกฤษเหมือนว่าเราต้องรับผิดชอบมากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น เลยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ผมอาจโชคดีกว่าพี่ๆ ตรงที่เป็นลูกคนเล็ก มาถึงผมทางบ้านเลยไม่เข้มงวดมาก พอสอบได้ที่อังกฤษ ท่านก็เลยอนุญาตให้เรียนต่อได้ (ยิ้ม)”
เริ่มต้นไว ยิ่งเรียนรู้ไว
ตลอดเวลาที่ได้ทำความรู้จักกับผู้บริหารหนุ่มไฟแรง สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนจากชายหนุ่มตรงหน้าคือ ความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย แม้ในบางมุมเขาจะยังแฝงความขี้เล่นตามประสาวัยรุ่นเจืออยู่บ้างก็ตาม ส่วนผสมของความเป็นวัยรุ่นและการเป็นผู้บริหารนี้เอง สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในสไตล์การทำงานของเขา ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยอมรับ มันนี่บอกว่าเขาอาจจะคิดต่างจากผู้บริหารหลายๆ คน ตรงที่เมื่อเขาได้ความรู้หรือข้อมูลใหม่ๆ มา เขาเลือกที่จะไม่เก็บความรู้นั้นไว้คนเดียว แต่เลือกจะกระจายความรู้ที่มีให้กับทีมงานคนอื่นๆ เพราะเขาเชื่อว่า การรู้คนเดียว คิดคนเดียวจะไม่เกิดการต่อยอดไปสู่ไอเดียใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์
“ผมอยากกระจายตัวผมออกไปอีกหลายๆ คน เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ความรู้อะไรมา ผมจะแชร์กับทีมงานเพื่อที่จะได้เกิดการต่อยอด ขยายความคิดออกไปอีก ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่าอายุเท่านี้กับการเริ่มต้นทำธุรกิจเร็วไปมั้ย ผมมองว่าคนเราเริ่มเร็วก็ได้เรียนรู้เร็ว ล้มเร็วก็ลุกได้เร็วกว่าคนอื่น”
มันนี่ย้ำว่า สิ่งที่เขายึดถือเสมอเพื่อพาตัวเองไปข้างหน้าคือ พยายามพาตัวเองไปอยู่กับคนที่เก่งๆ หรืออยู่ในสังคมแบบคนที่เก่งๆ อยู่
“ผมชอบคำพูดนี้มาก “Surround yourself with people who look more like your future than your past” ผมไม่รู้นะครับว่าคำพูดนี้เป็นของใคร แต่ผมว่าการพาตัวเองไปห้อมล้อมด้วยคนที่คุณอยากเป็นเหมือนเขาในอนาคต เป็นเรื่องที่ถูกตัอง ตัวผมเองอาจจะโชคดีเกิดมาในครอบครัวที่ทุกคนทำงานเยอะ ทำให้ผมได้ซึมซับนิสัยแอ็กทีฟโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผมแอ็กทีฟตลอดเวลา ไม่อยู่อย่างไร้ประโยชน์ ผมอยากหาเงินได้เอง เพราะผมมองว่ามันเท่กว่าการขอเงินคุณพ่อคุณแม่ใช้ หรือให้คนอื่นแค่มองว่าบ้านเรามีฐานะ”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงบอกตัวเองเสมอว่า เมื่อมีไอเดียให้ลงมือทำ ไม่ต้องกลัว ความกลัวส่วนใหญ่ ตัวเราเป็นคนสร้างขึ้นเอง
“โชคดีอีกอย่างของผมคือมีที่ปรึกษาดี มีครอบครัวที่ให้การสนับสนุนผมเสมอ เวลาที่ผมไม่รู้อะไร ผมไม่อายที่จะถามให้รู้ ผมว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ คนเราต้องไม่อวดเก่ง อยากอวดเท่ อะไรที่ไม่รู้ไม่ชำนาญก็ต้องศึกษา ขอคำแนะนำ ผมเป็นพวกมองโลกในแง่บวกมาก เวลาเกิดปัญหาหรืออุปสรรคอะไร ผมจะพยายามเรียนรู้ จดจำ และบอกกับตัวเองว่า จะไม่ทำพลาดแบบนี้อีก แล้วก้าวต่อไปข้างหน้า” หนุ่มหล่ออนาคตไกลกล่าวทิ้งท้าย


