posttoday

แห่มุทิตาสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ล้นวัด

11 ธันวาคม 2559

พระสงฆ์นับร้อย พุทธศาสนิกชนนับพัน แสดงมุทิตา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

โดย...สมาน สุดโต

พระสงฆ์นับร้อย พุทธศาสนิกชนนับพัน แสดงมุทิตา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานสถาปนาจากพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ เป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ เนื่องในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2559 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง

 ประชาชนทยอยเข้ามาในวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ตั้งแต่บ่าย ทั้งๆ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จะเดินทางถึงวัดก็เกินเวลา 18.00 น.ไปแล้ว แต่ทุกคนมาด้วยศรัทธาเลื่อมใส แม้ว่าทางวัดจะจัดพิธีแสดงมุทิตาและต้อนรับที่เรียบง่ายก็ตาม

เมื่อใกล้เวลาที่สมเด็จรูปใหม่จะมาถึง วัดญาณเวศกวันที่รื่นรมณีย์ แต่สงบสงัด เพราะประชาชนหลายร้อยคนจะอยู่รอบๆ อุโบสถ อยู่ในอาการสำรวม คอยการปรากฏตัวสมเด็จรูปใหม่ ด้วยใจจดใจจ่อ เป็นปรากฏการณ์ที่หายาก แต่ก็เกิดขึ้นแล้วที่วัดญาณเวศกวัน เมื่อสมเด็จรูปใหม่เดินทางมาถึง จึงเห็นประชาชนที่สำรวมพนมอัญชลีและก้มกราบด้วยศรัทธายิ่ง

เมื่อพิธีในอุโบสถที่เรียบง่ายผ่านไปแล้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้เมตตากล่าวสัมโมทนียกถาประมาณ 20 นาที แม้ว่าจะมีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอกและไอ ผู้อ่านคงเห็นบางส่วนของสัมโมทนียกถาผ่านไลน์และเฟซบุ๊กแล้ว แต่ฉบับเต็ม มีดังนี้

เบื้องต้นพระคุณท่าน กล่าวขอบพระคุณ พระเถรานุเถระ และอนุโมทนาญาติโยมที่มีน้ำใจ และเสียสละที่รอคอยเพื่อต้อนรับ พร้อมกับบอกว่าไม่สามารถทักทายได้ทั่วถึง เพราะมีปัญหาที่ตาไม่ดี และเสียงไม่มี จากนั้นพระคุณท่านกล่าวให้สติผู้มาประชุมว่า นี่การมุทิตา เป็นเรื่องรอง เพราะความสำคัญอยู่ที่ว่าวันนี้ (5 ธ.ค.) เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้แต่พิธีพระราชทานสมณศักดิ์ ก็สืบเนื่องจากวันสำคัญดังกล่าว ทั้งนี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในส่วนของการบำรุงพระพุทธศาสนาและทรงปฏิบัติอย่างจริงจังตลอดมา 

พร้อมกันนั้น ท่านก็เล่าแบบเดาสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงว่า

แห่มุทิตาสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ล้นวัด พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง) ถวายมุทิตา

 

ตัวท่านเองนั้นไม่ได้เข้าวัง ไม่ได้เข้าพิธีหลวง หรือพิธีทางราชการใดๆ มาประมาณ 25 ปี เว้นครั้งเดียวเมื่อรับสมณศักดิ์เป็นพระพรหมคุณาภรณ์ (12 ส.ค. 2547)

เมื่อจำพรรษาในปี 2538-2540 ก็ผ่าตัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ออกมาหน้าวัด 10 ปี แต่อากาศที่วัดญาณเวศกวันก็ไม่เหมาะกับสุขภาพ จึงจรเรื่อยไปอีก 10 ปี พูดง่ายๆ ว่า 20 ปี แทบไม่ได้ออกมาเกี่ยวข้อง ญาติโยมจะเห็นว่ามาวัดมักไม่ค่อยได้เจอ แต่ก่อนยังออกพิธีในช่วงวันวิสาขบูชา ตอนหลังก็ไม่ได้มาเลย

ท่านนั้นมีบทบาทในวัดญาณเวศกวันน้อย และได้กล่าวถึงคุณหญิงกระจ่างศรี รักตะกนิษฐ ประธานสร้างวัด ว่า บัดนี้อายุ 102 ปี มาไม่ไหว แต่คิดถึงวัดก็อุตส่าห์ฝากพวงมาลัยมา อาตมาเคยพูดว่าอาตมาไม่เคยสร้างอะไรที่วัดนี้ โยมช่วยสร้างทั้งนั้น เป็นออย่างนี้ จึงไม่ได้ไปในพระราชพิธีใดๆ อยู่ตามป่า ตามดงมากกว่า

มีอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ทิ้ง คือ งานหนังสือธรรมะ แค่หนังสือตามพระใหม่ไปเรียนธรรมะนั้น ไม่แน่ใจว่าทั้งชีวิตอาจไม่สำเร็จ ขณะนี้เสร็จไป 21 ตอน เหลืออีก 39 ตอน ยังมีหนังสืออื่นอีกเยอะแยะ ที่พูดให้ฟังเพื่อจะบอกว่าไม่ได้ไปในพิธีหลวงใดๆ เลย จึงทำให้เดาว่า (อาตมา) ไม่เคยรอดสายพระเนตร 

อาตมาทำหนังสือ ทำงานสร้างเสริมเผยแพร่ความเข้าใจ ธรรมวินัย หาทางให้ประชาชนได้ประพฤติปฏิบัติกัน ก็ทำงานแค่นี้ เรื่องเป็นมาอย่างนี้ ก็ขอบอกให้ญาติโยมรู้ ดังนั้นขอให้ญาติโยมตั้งใจรำลึกพระคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา

สมเด็จรูปใหม่ พูดในแง่ของการตั้งพระว่า จะตั้งให้เป็นอะไร เป็นสมณศักดิ์อะไร ก็เป็นพระรูปหนึ่งเท่านั้น จะตั้งเป็นชั้นไหน ก็เป็นพระรูปหนึ่ง เคยเรียกหลวงอา หลวงตา หลวงพ่อ หลวงปู่ก็เรียกตามนั้น ถ้าเขาจะเรียกเจ้าประคุณอะไร ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ให้เป็นเรื่องของทางการ เราก็อยู่แบบสบาย

เรื่อง เป็น กับ ทำ

ทีนี้เรื่องที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจกัน นั่นคือเรื่อง “เป็น” กับเรื่อง “ทำ” เป็นนั่นเป็นนี่ ทางธรรมะท่านไม่นิยมถามว่า จะเป็นอะไร ท่านนิยมถามว่า จะทำอะไร อันนี้ล่ะสำคัญ การจะทำให้ได้ผลดี มันเหมือนจะต้องเป็นนั้นเพื่อจะได้ทำอันนี้ได้ เขาก็เลยให้เป็น เพื่อจะได้ทำอะไรบางอย่างได้จริงจังเข้มแข็ง อันนี้ก็จึงเป็นคติที่เราจะต้องรู้ว่าทางพระพุทธศาสนาท่านไม่นิยมถามว่าจะเป็นอะไร แต่ถามว่าจะทำอะไร

ทีนี้เรื่องจะเป็น กับเรื่องจะทำ มันขัดกัน ตอนนี้ต้องเปิดใจ ต้องพูดกันตรงๆ ว่า นี่พูดถึงตัวอาตมาเองนะ ขออภัยที่พูดถึงเป็นส่วนตัว งานที่จะทำเรื่องที่จะทำหนังสือธรรมะอะไรต่างๆ เคยบอกพระไปแล้วว่า หมดชีวิตนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางจบ ก็ต้องทำกันต่อไป ทีนี้ไอ้การเป็นมันขัดกับการทำ ก็ต้องมาตกลงกัน เรื่องที่เกี่ยวกับการเป็น แล้วไอ้เรื่องที่เราจะทำนี่ มันทำไม่ได้เพราะมันขัดกัน ก็ต้องมาตกลงกันว่าเราจะทำยังไง เราจะทำเรื่องที่เราต้องการจะทำให้มันสำเร็จ ก็ต้องหาทางให้เรื่องเป็น มันเปิดทางให้เรื่องทำให้ได้ เพราะทำสำคัญกว่า ต้องทำจนตายนั่นแหละ ชีวิตนี้ไม่พอ เพราะหนังสือธรรมะนั้นมากมาย

ท่านบอกว่า ตอนแรกพูดไม่ออกจริง แต่ก็สู้ พร้อมชี้ไปที่ปอดว่า ช้ำไปหมด ซึ่งเมื่อพูดไปแล้วก็ได้รับเสียงอนุโมทนากึกก้อง

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ที่มรณภาพไปแล้ว ว่าท่านต้องไปกราบครูอาจารย์ในวัดต่างๆ อีกหลายวัด เช่น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจม บพิตร ที่เป็นสมเด็จพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา พระธรรมเจดีย์ (กี มารชิโน) วัดทองนพคุณ พระเทพคุณาธาร (ผล ชินปุตฺโต) และพระครูปลัดสมัย กิตฺติทตฺโต วัดพระพิเรนทร์ รวมทั้งหลวงพ่อวัดบ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มีวัตรปฏิบัติและปฏิปทามั่นคง (โปรดอ่านทัศนะของคุณผาสุก ในล้อมกรอบ) และโดดเด่นทางวิชาการ จึงมีหลายท่านยกท่านเป็นแบบอย่าง เช่น สุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ที่เคยเป็นศิษย์วัดพระพิเรนทร์ และเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับราชการที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อมีหน้าที่และความรับผิดชอบสูงขึ้น จะต้องไปกราบ และกล่าวคำปฏิญาณ ต่อหน้าอาจารย์ว่าจะปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยยึดเอาตัวท่านเป็นแบบอย่าง และกระทำเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อเติบใหญ่ในหน้าที่ราชการ จนกระทั่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

ข่าวล่าสุด

กนง. เปิดเกมผ่อนคลายเต็มรูปแบบ ดอกเบี้ยขาลงรับเศรษฐกิจแผ่ว จับตาลดอีกเหลือ 1.0% ต้นปี 2569