Mexico City…The city of Mexico
พื้นที่ราบกว้างใหญ่ประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,200 เมตร ถูกรายล้อมไปด้วยแนวเขาสูง
โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]
พื้นที่ราบกว้างใหญ่ประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,200 เมตร ถูกรายล้อมไปด้วยแนวเขาสูงและภูเขาไฟ เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณกลางทะเลสาบที่ชื่อว่า เตนอชตีตลัน ซึ่งต่อมาก็ตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิสเปน และเรียกชื่อใหม่ว่า “เม็กฮิโก เตนอชตีตลัน” (Mexico Tenochtitlan) จนท้ายที่สุดก็เปลี่ยนมาเรียกว่า “เม็กซิโก ซิตี้” (Mexico City) เมืองหลวงของสหรัฐเม็กซิโก ดังเช่นทุกวันนี้
ประชากรกว่า 20 ล้านคน อาศัยอย่างหนาแน่นในเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคนพูดภาษาสเปนมากที่สุดในโลก และยังขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีหลายฉายา ตามสถานการณ์และแคมเปญการเมือง ณ เวลานั้นๆ เช่น ในศตวรรษที่ 19 เคยเรียกที่นี่ว่า “เมืองแห่งปราสาทราชวัง” (The City of Palaces) ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็เรียกชื่อใหม่ ตามสโลแกนของผู้ว่าฯ ในสมัยนั้นว่า “เมืองแห่งความหวัง” (City of Hope) ต่อมาก็เรียกฉายา “นครหลวงที่ไม่หยุดนิ่ง” (Capital of Movement) ตามคำขวัญของผู้ว่าฯ ท่านใหม่ในสมัยถัดมา
จนล่าสุดในปี 2013 ก็เปลี่ยนมาใช้สัญลักษณ์เป็นตัวย่อว่า “CDMX” ย่อมาจาก “ซิวด๊าด เด เม็กฮิโก” (Ciudad de Mexico) แต่อย่างไรก็ตาม คนเม็กซิกัน จะเรียกเมืองหลวงของตัวเองด้วยชื่อสั้นๆ ว่า “ดีเอฟ” ที่ย่อมาจากคำว่า “เฟ็ดเดอรัล ดิสตริก” (Federal Distric) หรือไม่เช่นนั้น ก็จะเรียกว่า “เม็กซิโก” เฉยๆ ก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่า หมายถึงเมืองหลวง เม็กซิโก ซิตี้
คนเม็กซิกันที่อยู่ในเม็กซิโก ซิตี้ จะคล้ายกับคนไทยมาก คือกินง่าย อยู่ง่าย และเป็นคนมีน้ำใจ มีความโอภาปราศรัย แต่ที่ต่างกัน ก็เห็นจะเป็นเรื่อง “ความเนี้ยบ” ตัวอย่างเช่น รองเท้าที่ใส่ไปงานหรือไปนัดสำคัญ ถ้าจะให้ดูดี ดูเนี้ยบ ต้องใส่รองเท้าหนัง และก็ต้องขัดให้เป็นเงาวาววับ ดังนั้น ในเม็กซิโก ซิตี้ จึงเต็มไปด้วยร้านขัดรองเท้าเคลื่อนที่
ส่วนทรงผมสำหรับหนุ่มเม็กซิกันนั้น ก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ คือจะใส่เจล ให้ดูเปียก และหวีเรียบ ให้เป็นทรงเรียบร้อย จนบางทีก็มีการแซวกันว่า ถ้าผมไม่เรียบ รองเท้าไม่มัน หนุ่มเม็กซิกันจะไม่ยอมออกจากบ้านกันเลยทีเดียว
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ความเป็นเม็กซิกัน นั่นก็คือเรื่องของอาหารการกิน ที่ต้องบอกว่า เราเข้าใจผิด มาตลอดเกี่ยวกับอาหารเม็กซิกัน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่ง อาจจะมาจากโฆษณาโทรทัศน์ ที่นำเสนอรูปคาวบอย ต้นตะบองเพชร และพริกเม็กซิกันชิลลี่ คนเลยคิดว่าไปเองว่าอาหารเม็กซิกันจะต้องเผ็ดจี๊ดจ๊าด แต่อันที่จริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะอาหารส่วนใหญ่ก็รสชาติจืดๆ เหมือนอาหารยุโรปนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเขามีพริกชนิดหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุด เรียกว่า “อาบาเนโร่” (Abanero Pepper)
หนึ่งในอาหารประจำชาติเม็กซิกัน เรียกว่า “ทาโก้” (Taco) คือเนื้อปรุงรสที่ห่อด้วยแผ่นแป้งข้าวโพด กลมๆ บางๆ ที่เรียกว่า “ตอร์ติย่า” (Tortilla) แล้วก็โรยด้วยหอมกับผักชีซอยเป็นชิ้นเล็กๆ เวลาจะรับประทานก็บีบมะนาวใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ใส่ซอสเผ็ดๆ พริก โดยทาโก้แต่ละแบบนั้น จะปรุงรสแตกต่างกันออกไป อาจจะใส่เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ผัก หรือ ชีส ก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ ต้องห่อด้วยแป้งตอร์ติย่า ต้องบีบมะนาว แล้วก็ต้องราดด้วยซอส จึงจะเป็นทาโก้ ในแบบฉบับเม็กซิกันแท้ๆ
ส่วนอาคารบ้านเรือนในเม็กซิโก ซิตี้ สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ โดยกลุ่มแรก ก็คืออาคารเก่าแก่ ที่อยู่ในเขตเมืองเก่า (ใจกลางเมือง) กลุ่มที่สอง เป็นอาคารสูง ทันสมัย ราคาแพง ตั้งอยู่ห่างเขตเมืองเก่าออกมา ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือ ชุมชนแออัดที่ตั้งอยู่ตามเนินเขา โดยบ้านเรือนเหล่านี้จะสร้างอยู่ติดกัน อย่างหนาแน่น เรียงรายและลดหลั่นกันไป ตามความลาดชันของเนินเขา ซึ่งบางพื้นที่ก็ถูกจัดว่าเป็นสลัม หรือพื้นที่เสื่อมโทรม
สาเหตุที่มีสลัมอยู่มาก ก็เพราะว่า คนจ่ายค่าที่อยู่อาศัยในเมืองไหว และจำนวนคนตกงานก็มีมาก ประกอบกับค่าแรงรายวันของก็ถูกมาก คือวันละ 72 เปโซ ในขณะที่ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ระดับกลางๆ ในเมือง ก็ตกประมาณ 8,000 เปโซ และราคาทาโก้จากร้านค้าข้างทาง หนึ่งชิ้นก็ประมาณ 15 เปโซแล้ว ซึ่งถ้าจะให้อิ่ม ก็ต้องกิน 2-3 ชิ้น นั่นเท่ากับว่า ต้องจ่ายประมาณ 50 เปโซต่อหนึ่งมื้ออาหารเลยทีเดียว จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ประชาชนธรรมดาทั่วไปจะสามารถจ่ายค่าอาศัยอยู่ในเมือง
อย่างไรก็ตาม การอาศัยในเม็กซิโก ซิตี้ ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เพราะระบบขนส่งสาธารณะของที่นี่ราคาถูกมาก อย่างเช่น รถไฟใต้ดินก็ประมาณ 5 เปโซ (ประมาณ 10 บาท) ตลอดสาย ถือเป็นระบบรถไฟใต้ดินที่ราคาค่าโดยสารต่ำที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ราคาค่าก๊าซและไฟฟ้าของที่นี่ ก็ค่อนข้างถูกเลยทีเดียว เพราะรัฐบาลกำหนดราคาให้ต่ำ เพื่อควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เกิดข้อดีก็คือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างข้อจำกัดในการพัฒนาเช่นกัน เมื่อไม่มีการแข่งขันอย่างเสรี ก็ไม่มีการปรับปรุงคุณภาพ และรัฐบาลต้องแบกรับภาระขาดทุนไปตลอดกาล
แผนปฏิรูปพลังงานล่าสุด จึงมุ่งสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยพยายามกระจายแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าให้มีความหลากหลายขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนควบคู่กันไปด้วย โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2024 จะต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึงร้อยละ 35 และภายในปี 2050 จะต้องลดมลพิษให้ได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องของมลภาวะนั้น ก็เคยเป็นปัญหาใหญ่ของเม็กซิโก ซิตี้ และสามารถแก้ไขจนสำเร็จมาแล้ว (เฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่ง) โดยในช่วงปี 1990 เม็กซิโก ซิตี้ เคยติดอันดับเมืองที่มีมลพิษสูง แต่ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ก็ลดมลพิษลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งมาตรการสำคัญคือ การปิดโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน การยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม การปรับเปลี่ยนชั่วโมงเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงจราจรคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดวันปลอดรถยนต์ 2 วัน/สัปดาห์
ส่วนปัญหามลพิษทางน้ำในเม็กซิโก ซิตี้นั้น ไม่ค่อยถูกกล่าวถึง ก็เพราะว่าเม็กซิโก ซิตี้ ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน ต้องอาศัยน้ำอุปโภคบริโภคจากเขื่อน และน้ำใต้ดิน ดังนั้น ปัญหาใหญ่จึงเป็นเรื่องการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง และปัญหาดินทรุดจากการสูบน้ำใต้ดิน และปัญหาน้ำท่วมขัง ในหน้าฝน เพราะเม็กซิโก ซิตี้ ตั้งอยู่ในหุบเขา ซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล
อาจจะรู้สึกเหมือนว่า เม็กซิโก ซิตี้ เป็นเมืองที่ไม่ได้มีธรรมชาติโดดเด่น…เป็นเมืองที่ไร้ชายหาด ขาดแม่น้ำ!!!…เป็นเมืองที่รถติด มลพิษมาก!!!…เป็นเมืองที่ขาดน้ำแล้ง ช่วงหน้าร้อน แต่น้ำนอง ช่วงหน้าฝน !!!…และเป็นเมืองที่ค่าครองชีพแสนแพง ค่าแรงแสนต่ำ!!!
ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีเลย แต่เชื่อเถอะว่า ถามคนเม็กซิกันจะกี่คนต่อกี่คน ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็ยังอยากเข้ามาอยู่ที่เม็กซิโก ซิตี้อยู่ดี


