มาลียา โชติสกุลรัตน์ ดอกเตอร์ลินดี้ฮอปเปอร์
เพลงแจ๊ซมีจังหวะสั่งให้แข้งขาขยับเป็นสวิง โน้ต-ดร.มาลียา โชติสกุลรัตน์ กำลัง (เต้น) รออยู่ที่ เดอะ ฮอป
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
เพลงแจ๊ซมีจังหวะสั่งให้แข้งขาขยับเป็นสวิง...
โน้ต-ดร.มาลียา โชติสกุลรัตน์ กำลัง (เต้น) รออยู่ที่ เดอะ ฮอป แหล่งรวมตัวของชาวลินดี้ฮอปเปอร์ขาสวิงแดนซ์ หรือกลุ่มอินดี้ใต้ดินที่เปิดตัวไปในนาม บางกอกสวิง โดยมีเธอเป็นตัวตั้งตัวตีทำให้สวิงแดนซ์เป็นกระแสใหม่ในกลุ่มวัยรุ่น นอกจากภาพนักเต้น เธอยังทำและเป็นอะไรอีกหลายอย่าง อย่างที่ได้นิยามตัวเองไว้ในเฟซบุ๊ก Malee (นามแฝง) ว่า มาลีเขียนหนังสือสร้างเสริมประสบการณ์อิงลิช และตรีแล้วไปไหน สำนักพิมพ์อะบุ๊ค มาลีเคยเขียนคอลัมน์หนูมาลุยในอะเดย์ และตรีแล้วไปไหนในมันเดย์ มาลีมีงานประจำเป็นนักวิจัย มาลีมีงานเสริมเป็นแม่ค้าขายไข่เค็มซีอิ๊วตราบ้านตลาดน้อย และมาลีมีงานอดิเรกเป็นนักเต้นสวิง
ทายาท
เห็นหน้าหมวยอินเตอร์แบบนี้ แท้จริงแล้วเธอเป็นลูกหลานชาวจีนที่สืบเชื้อสายจากย่านตลาดน้อย ประกอบกิจการผลิตและขายซีอิ๊วดำเค็มมาตั้งแต่รุ่นทวด ตอนนี้สืบทอดสู่รุ่นที่ 4 มีน้องสาวของเธอเป็นคนดูแลการผลิต ส่วนเธอเป็นฝ่ายครีเอทีฟที่สรรหาใส่ความสนุกเข้าไป
โดยจุดเด่นของซีอิ๊วตราตาแป๊ะที่ครอบครัวโชติสกุลรัตน์สืบทอดมา คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงสูตรเลยในช่วง 4 ชั่วอายุคนที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับคนที่มองว่าความทันสมัยคือการเปลี่ยนแปลงก็อาจไม่จริงเสมอไป เพราะสมัยก่อนไม่ใส่สารเคมี ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ทุกอย่างคือธรรมชาติ ซึ่งจุดนี้กลายเป็นข้อดีในปัจจุบัน และเธอยังนำซีอิ๊วดั้งเดิมมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย
“คนสมัยนี้ห่างครัวขึ้นเรื่อยๆ เราก็เลยพยายามคิดผลิตภัณฑ์ที่ทำให้มันง่ายต่อการกินสมัยนี้ เลยลองนำซีอิ๊วที่บ้านมาทำเป็นไข่เค็มซีอิ๊วตราบ้านตลาดน้อย วางขายในห้างสรรพสินค้า กูร์เมต์มาร์เก็ต และร้านสุขภาพต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น” เธอกล่าว
การเกิดมาในครอบครัวค้าขายก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องโตมาเป็นแม่ค้า ดร.โน้ตค้นหาตัวเองด้วยการร่ำเรียนหลายอย่างและไม่ปิดกั้นตัวเอง ช่วงปริญญาตรีเธอตัดสินใจเลือกเรียนคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ด้วยกระแสตอนนั้นที่คอมพ์กำลังบูม จบมาเธอได้งานแรกเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทฝรั่ง จากนั้นสอบได้ทุนรัฐบาลไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกด้านบริหารเทคโนโลยีที่ประเทศอังกฤษ โดยได้ทำวิจัยเรื่องประสิทธิภาพของนักวิจัย
นักวิจัย
5 ปีที่เป็นนักเรียนทุน เธอต้องกลับมาใช้ทุนให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ผู้ให้ทุนเป็นเวลา 10 ปี แต่ปัจจุบันเธอถูกดึงตัวให้เข้าไปทำงานในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่เปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในปัจจุบัน เกี่ยวกับการทำแผนแม่บทและกำหนดนโยบาย โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว คือ เปลี่ยนชื่อกระทรวงให้รับกับโลกดิจิทัล
“ปัจจุบันเทคโนโลยีคือทุกอย่าง เป็นหลักและเป็นฐานของทุกสิ่ง งานของทีมเราคือ เข้าไปวางพื้นฐานให้คนที่จะเข้ามาเปลี่ยนหรือปรับการทำงานของกระทรวง โดยก่อนหน้านั้นได้มีการศึกษาเชิงลึกหลายด้าน เช่น อินเทอร์เน็ตเข้าถึงพื้นที่ในประเทศไทยแล้วหรือยัง นักเรียนตามชนบทมีคอมพิวเตอร์พร้อมใช้งานหรือไม่ การค้าขายออนไลน์มีปัญหาอะไร และลึกไปจนถึงพฤติกรรมคนไทยว่าพร้อมกับยุคดิจิทัลแล้วหรือยัง”
เธอแสดงทัศนะว่า สำหรับคนในเมืองใหญ่ไม่น่าเป็นห่วงเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่ที่เป็นกังวลคือ การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างขาดวิจารณญาณ มีใช้แล้วก็ต้องใช้ให้เป็น ใช้อย่างสร้างสรรค์ และใช้เพื่อพัฒนาสร้างอย่างอื่น โดยผู้ใช้ต้องมีภูมิคุ้มกัน เพราะโลกออนไลน์ก็เหมือนสังคมมนุษย์ที่หากไม่มีภูมิคุ้มกันก็อาจโดนหลอกเอาเงิน หรือตนอาจไปทำอะไรที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็เป็นได้
“ภาพใหม่ของกระทรวง ถ้าเป็นไปได้จะไม่ทำงานแค่คนเดียว แต่ต้องวิ่งไปหากระทรวงหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเปลี่ยนในเรื่องต่างๆ เช่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในโรงเรียนก็ต้องวิ่งไปหากระทรวงศึกษาธิการ แต่ทุกเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย ยกเว้นเสียแต่มีการเริ่มต้นในทิศทางที่ถูกต้อง อาจจะใช้เวลากี่ปีไม่มีใครรู้ แต่มันดีที่ได้เริ่มต้นแล้ว ผลของมันก็จะตามมาแน่นอน” ดร.โน้ต เพิ่มเติม
นักเขียน
อีกมุมหนึ่งของนักวิชาการวัย 35 ปี ดร.โน้ต คือเจ้าของนามปากกา “หนูมาลุย” คอลัมนิสต์เรื่องท่องเที่ยวในนิตยสารอะเดย์ตั้งแต่ปี 2552-2555 เธอยังเป็นเจ้าของหนังสือเรื่อง “สร้างเสริมประสบการณ์อิงลิช” และเล่มที่สอง “ตรีแล้วไปไหน” หลังจากนั้นเมื่อหยุดเขียนเรื่องท่องเที่ยวเพราะต้องทำงานประจำจนไม่มีเวลาเดินทาง เธอก็เริ่มสนใจแฟชั่นวินเทจ ด้วยอิทธิพลของเมืองอังกฤษเจ้าแม่ความวินเทจที่ติดตัวมา ทำให้เธอลงไปศึกษาเรื่องเสื้อผ้า รวมถึงวัฒนธรรมในยุควิกตอเรียนถึงยุค 1920-1940 และได้กลับไปเป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสารอะเดย์อีกครั้งในคอลัมน์ เรื่องเล่าสาววินเทจ เกี่ยวกับเกร็ดประวัติศาสตร์แฟชั่น
“แต่ก่อนคุณพ่อคุณแม่ดูภาพยนตร์เก่าๆ หรือฟังเพลงในยุคของเขา มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เราเสพมาตั้งแต่เด็กๆ มันไปเชื่อมโยงกับความรู้สึกสบายใจเมื่อได้คิดถึง เป็นภาพแห่งความสุขที่เราจำได้ แต่พอโตขึ้นมา ความชอบแฟชั่นวินเทจมันไปเกี่ยวโยงเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าเสื้อผ้ามือสองราคาถูกและตัดเย็บไม่เหมือนใคร (หัวเราะ) จนกระทั่งได้ไปอยู่ที่อังกฤษ ไปเห็นเสื้อผ้าสมัยก่อนยุควิกตอเรียนจริงๆ ซึ่งเป็นยุคก่อนอุตสาหกรรมที่มีการตัดเย็บด้วยมือ ลูกไม้เป็นการถักแบบละเอียดลออ โดยแต่ละชิ้นมีเพียงชิ้นเดียว พอได้ไปเจอแล้วก็ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ต่อ ยิ่งหาเบื้องหลังก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ จึงเริ่มศึกษาจริงจังจนพบคำว่าสวิงแดนซ์” เธอ กล่าว
ระหว่างปี 1920 - 1940 การเต้นสวิง หรือสวิงแดนซ์ ได้ถือกำเนิดขึ้นและถูกเผยแพร่ไปทั่วอเมริกาและยุโรป จนหายไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะกลับมาได้รับความนิยมอีกในปัจจุบัน โดยเธอรู้จักสวิงแดนซ์บนถนนในอังกฤษแล้วติดใจมาตั้งแต่แรกเห็น ทั้งเสื้อผ้า เพลง บรรยากาศ ทุกอย่างคือความวินเทจ เธอจึงได้ชักชวนตัวเองเข้าสู่วงการและเรียนอย่างจริงจังเมื่อกลับมาประเทศไทย
นักเต้นสวิง
แต่แรกวงการสวิงแดนซ์ในประเทศไทยเหมือนเป็นชมรมลับใต้ดิน ไม่มีคนไทย มีแต่ชาวต่างชาติกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันเต้นอย่างเงียบๆ ชาวต่างชาติที่เป็นผู้ตั้งกลุ่ม อันได้แต่ Ben Lepp, Rick Jones จึงได้ชักชวน โอ๊ต ชยะพงส์ นะวิโรจน์ และสมาชิกคนไทยในตอนนั้น รวมถึงเธอ ไปเต้นกันที่บาร์ เธอเล่าเพิ่มเติมว่า การเต้นสวิงนั้นคือสตรีทแดนซ์ของชาวแอฟริกันที่มาทำงานใช้แรงงานในอเมริกา ตกเย็นพวกเขาจะออกมาเต้นบนถนนประกอบเพลงบลูส์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความลำบากของชีวิตเหมือนเพลงลูกทุ่งไทย
โน้ตและโอ๊ตจึงพยายามสร้างกลุ่มคนไทยเพื่อเผยแพร่ศาสตร์และเพื่อรักษาสวิงแดนซ์ไว้ เพราะในประเทศเพื่อนบ้านเคยเกิดเหตุสวิงแดนซ์หายไปหลังจากฝรั่งกลับบ้าน ดังนั้นแม้ว่าเธอจะหวงบรรยากาศอินดี้ใต้ดิน แต่ก็จำเป็นต้องเปิดกลุ่มสอนคนไทยให้สวิงแดนซ์เป็น เพื่อให้มันอยู่ในเมืองไทยต่อไป
“ทุกคนจะออกมากระโดด เป็นการเต้นจริงๆ ในชีวิตจริง ซึ่งนั่นคือความมันส์ของมัน เพราะคาดไม่ได้ว่าจะเต้นอะไรต่อ” เธอกล่าว ทุกวันนี้แก๊งสวิงแดนซ์มีฟลอร์เต้นรำอยู่ที่ เดอะฮอป (The Hop) สตูดิโอที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของสมาชิกบางกอกสวิง โดยจะนัดมาสวิงพร้อมกันทุกวันเสาร์และวันอังคาร ตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มเป็นต้นไป นอกจากนี้ เธอและเพื่อนยังจัดงานใหญ่ชื่องานปาร์ตี้ Diga Diga Doo ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยมีนักเต้นสวิงร่วมงานกว่า 400 คน ซึ่งเป็นงานใหญ่สุดของสาวกสวิง
ดร.โน้ต เต้นสวิงแดนซ์มาได้ประมาณ 5 ปีกว่า ดึงคนไทยมาร่วมเต้นได้เป็นหลักร้อยคน ทว่าสุดท้ายแล้วภาพสวิงแดนซ์ในประเทศไทยจะเป็นอย่างไรยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีคำตอบ
“อย่างในบางประเทศที่คนเต้นสวิงเป็นมากๆ มันจะกลายเป็นเต้นแอโรบิก คือเต้นเป็นก็จริง แต่ไม่มีจิตวิญญาณ หากมีคนจำนวนมากเต้นในสถานที่กว้างใหญ่แต่ไม่มีบรรยากาศของความสุขลอยออกมา ก็สู้คนน้อยๆ ที่เล็กๆ อย่างตอนนี้ไม่ได้”
“ไม่ว่าสุดท้ายแล้วสวิงแดนซ์ในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เราก็จะทำหน้าที่ในการส่งต่อบรรยากาศของความเป็นกันเองและบรรยากาศของความสุขให้มันไม่หายไประหว่างทาง เราจะไม่ทำให้สวิงแดนซ์เป็นแค่มูฟที่คนก้าวขาไปพร้อมกัน แต่เราจะทำให้เป็นการเต้นที่มีความสุข”
สวิงแดนซ์ คือ การเต้นเป็นคู่ในเพลงแจ๊ซที่มีจังหวะเหวี่ยง (สวิง) โดยมีท่าเต้นพื้นฐานหรือเบสิกสเต็ป 2-3 ท่า แต่ระหว่างที่เต้นสามารถคิดท่าใหม่หรืออิมโพรไวซ์ท่าได้เอง รู้สึกอย่างไรก็เต้นออกมาแบบนั้น ความสุข ความสนุก อารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างที่ลอยออกมานั่นคือหัวใจสำคัญของสวิงแดนซ์
สรุปแล้วเธอมีหลายบทบาท ทั้งนักวิจัย นักเต้นสวิง นักเขียน และล่าสุดเธอเพิ่งร่วมกับ แอ้ มทินา สุขะหุต สร้างแบรนด์ ซูซี่ คิว แฮปปี้ ลินดี้ ฮอปเปอร์ (Susie Q Happy Lindy Hopper) ทำเสื้อผ้าสำหรับนักเต้นสวิงโดยเฉพาะ
ดร.โน้ต สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ดูแลสิ่งเก่า และเฝ้ามองอนาคต ยังตอบไม่ได้ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่สิ่งที่ตอบและยืนยันได้ในเวลานี้คือ เธอไม่กลัวที่ต้องทำงานหลายอย่าง เพราะหากทุกอย่างเป็นสิ่งที่รักและถนัด จะทำงานอย่างมีความสุขแค่ไหนก็ได้.


