เรื่องเล่าจาก...โรงลิเกหลังตลาด
ช่วงเวลาพลบค่ำ ณ “ตลาดมิ่งขวัญบ้านนา” ตลาดเล็กๆ ภายในซอยอินทามระ 16 ย่านสุทธิสาร ผู้คนจำนวนมาก
โดย...ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
ช่วงเวลาพลบค่ำ ณ “ตลาดมิ่งขวัญบ้านนา” ตลาดเล็กๆ ภายในซอยอินทามระ 16 ย่านสุทธิสาร ผู้คนจำนวนมากต่างเดินขวักไขว่จับจ่ายซื้ออาหาร ขณะที่ด้านหลังตลาดผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับจับกลุ่มนั่งอย่างสบาย ใจจดใจจ่อรอดูลิเกคณะ “อโนชา พงศกร รุ่งเรือง”
โรงลิเกแห่งนี้ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นโรงไม้ไม่ถาวรนัก ยกพื้นสูง มีฉากเป็นภาพปราสาทราชวังที่คุ้นตา มีเต็นท์ผ้าใบสำหรับผู้ชมได้หลบฝนไม่ใหญ่มากจุคนได้ประมาณ 20-30 คน พร้อมเก้าอี้พลาสติก
หลังฉากลิเก นักแสดงทั้งชายและหญิงกว่า 20 คน กำลังขะมักเขม้นเขียนคิ้วแต่งหน้าด้วยความเร่งรีบ เป็นเวลานัดหมายแบบคร่าวๆ ประมาณ 17.00 น. นักแสดงทุกคนทยอยกันมา บางคนเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจจากงานประจำ ส่วนพระเอกและนางเอกของที่นี่ก็เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจการเรียน ไม่มีเวลาให้สนทนากันมากนัก หลังจากยกมือไหว้ สวัสดีคุณอู้ด (เจ้าของคณะลิเก) แล้ว แต่ละคนก็รีบจับจองพื้นที่ วางกล่องเครื่องแต่งหน้า เร่งละเลงสีสันบนใบหน้าทันที ระหว่างแต่งหน้าก็จะพูดคุยหยอกล้อ กระเซ้าเหย้าแหย่ หรือแซวกันบ้างตามประสาคนรู้จักกัน ที่นี่จะเริ่มแสดงเวลา 18.00-19.00 น. ไม่แน่นอนแล้วแต่ความพร้อม ไปจบประมาณ 22.00-23.00 น.
เมื่อเริ่มการแสดง ดนตรีปี่พาทย์ชุดเล็กเริ่มบรรเลง นักแสดงคนแรกที่เดินออกมาหน้าเวทีไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะหล่อหรือไม่หล่อ จะสวยหรือไม่สวยก็ตาม ต่างเรียกเสียงปรบมือและและเสียงเฮได้เป็นอย่างดี จากผู้ชมที่รอชมอยู่ด้านล่าง และเสียงจะดังเป็นพิเศษเมื่อถึงคิวปรากฏตัวของพระเอกและนางเอก
เครื่องแต่งกายของนักแสดงเน้นความสวยงามอลังการเป็นพิเศษ การดำเนินเรื่องดูจะไม่จริงจังมากนัก เน้นที่การสร้างความสนุกสนานให้ผู้ชมเป็นหลัก มีการสอดแทรกมุขตลกตลอด บ้างก็มีการพูดแซวคนดูบ้าง ที่นี่ไม่มีการเก็บเงินค่าชม ใครใคร่ดูฟรีก็ดูฟรีไป ใครมีน้ำใจหรือรักชอบนักแสดงคนไหนก็จัดไปด้วยพวงมาลัย พวงละ 20 บาท บางคนชอบมากกระเป๋าหนักก็จัดไปเป็นแบงก์สีแดงหรือสีม่วงเลย
ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคน ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ เป็นพ่อค้าแม่ค้าย่านนั้น บางคนพาลูกหลานมาดูด้วย เด็กๆ ก็จะดูด้วยความชื่นชอบในชุดที่สวยงามมากกว่า แล้วก็จะวิ่งเล่นกันซะส่วนใหญ่
ก่อนปิดการแสดง นักแสดงทุกคนจะออกมาโชว์ตัวหน้าเวที พร้อมกันและร้องเพลงคนละ 1 เพลง นักแสดงคนอื่นๆ ก็จะคอยเป็นแดนเซอร์อยู่ข้างๆ เสียงไพเราะหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ร้องถูกคีย์ถูกทำนองเป็นใช้ได้ ช่วงนี้เองที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม ด้วยการแดนซ์กันกระจาย ตามแต่ความพอใจ บางคนที่เป็นลูกค้าประจำก็ขอขึ้นไปร้องเพลงเองบ้างบนเวทีก็มี
พนม รุ่งเรือง เจ้าของคณะลิเก “อโนชา พงศกร รุ่งเรือง” เล่าให้ฟังว่า เล่นลิกเกตั้งแต่เด็ก ครอบครัวเล่นลิเกทั้งบ้านตั้งแต่ปู่ย่าตายาย และพ่อแม่ จึงสืบสานต่อมา และยึดเป็นอาชีพหลัก เคยเปิดการแสดงมาแล้วหลายที่ แต่ละที่ก็จะอยู่เป็นเวลานานสักระยะหนึ่ง เมื่อผู้ชมเริ่มน้อยลงก็จะย้ายไปเล่นที่อื่นต่อ ซึ่งที่นี่ก็เปิดแสดงมาได้ 3 เดือนแล้ว
ปัจจุบันวงการลิเกลำบากมาก ถือเป็นช่วงขาลง หากโด่งดังมีชื่อเสียง ก็จะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำร่ำรวยไป หากไม่ดังจริงก็จะมีรายได้ไม่เยอะ อย่างคณะลิเกของคุณพนมก็ไม่ถือว่าดังมาก เมื่อ 20 ปีก่อนเคยเปิดการแสดงที่ลาดพร้าวซอย 101 มีรายได้วันละ 1.4-1.5 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันมีรายได้ต่อวันเพียง 3,000-4,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าที่ และค่าแรงนักแสดงแล้ว ก็แทบไม่เหลืออะไร บางวันขาดทุนก็มี บางวันก็กำไรมาก เฉลี่ยกันไปทำให้พออยู่ได้ ไม่ถึงกับทำให้ร่ำรวย แต่ต้องทำต่อไปเพราะใจรัก
รู้จักกับพระเอก และนางเอกลิเก
พงศกร รุ่งเรือง อายุ 18 ปี ลูกชายเจ้าของคณะลิเกและพระเอกประจำคณะ ปัจจุบันศึกษาอยู่ ปวช.ปี 3 วิทยาลัยอาชีวศึกษา ดุสิตพาณิชยการ จ.นนทบุรี เริ่มเล่นลิเกตั้งแต่ 9 ขวบ เริ่มแรกได้ค่าแสดงวันละ 50 บาท เริ่มสนุกกับการที่มีรายได้เป็นของตัวเอง ทำให้รักการเล่นลิเกมาก และเตรียมรับช่วงคุมคณะลิเกต่อจากคุณพ่อ
ปัจจุบันต้องแบ่งเวลาระหว่างการเรียนและการเล่นลิเก โดยจะพยายามทำงานหรือการบ้านให้เสร็จที่โรงเรียน อนาคตหากเรียนจบอยากทำธุรกิจส่วนตัว เป็นนักออกแบบ กราฟฟิกดีไซน์ แต่ก็จะไม่ทิ้งการเล่นลิเก โดยจะทำควบคู่กันไป
เทคนิคการเรียกพวงมาลัยจากผู้ชม ต้องพยายามพูดเล่นกับคนดูบ้าง พยายามสอดมุขตลกให้คนดูสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา
ชุติมา ปราบวิไล (ข้าวฟ่าง) นางเอกสาวน้อย วัยเพียง 13 ปี ศึกษาอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ในตอนเด็กคุณพ่อชอบดูลิเก และจะพาไปด้วยทุกครั้ง ทำให้เกิดความชอบลิเก เริ่มเข้าสู่วงการครั้งแรกตอนเรียน ป.3 ด้วยพื้นฐานด้านนาฏศิลป์ที่เคยเรียนสมัยชั้นอนุบาล ทำให้สามารถเรียนรู้และโด่งดังในวงการลิเกอย่างรวดเร็ว จนก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกด้วยวัยเพียงน้อยนิด
ปัจจุบันรับงานเล่นลิเกหลายคณะมีรายได้วันละ 300-600 บาท แม้จะมีภาระต้องเรียน แต่ก็พยายามแบ่งเวลาให้ดี และไม่ทิ้งการเรียน พยายามรักษาเกรดเฉลี่ยไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 3 บางวันเคยเอาการบ้านมาทำที่โรงลิเกระหว่างการแสดง อาจารย์และเพื่อนๆ ต่างก็รู้และชื่นชมในความสามารถการเล่นลิเก
อนาคตเคยคิดจะเล่นลิเกเป็นงานหลัก แต่ก็ยังไม่แน่นอน อาจต้องทำงานอย่างอื่น แต่ก็จะไม่ทิ้งการเล่นลิเกแน่นอน
เทคนิคในการเรียกพวงมาลัยจากคนดู คือ ต้องพยายามเล่นให้ถึงบท ใช้ความเด็กน่ารัก เรียกความเอ็นดูจากผู้ชม
แม้วันนี้ลิเกจะไม่ใช่ความบันเทิงที่นิยมกันในวงกว้างเหมือนในอดีต เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่คลั่งไคล้กับคอนเสิร์ตจากต่างแดน ดูการแสดงสดผ่านออนไลน์ แต่สำหรับคนลิเกไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ รายได้หลักร้อยหรือหลักล้าน ทุกคนล้วนอยู่ได้ด้วยใจรัก และมุ่งมั่นที่จะสานสืบให้ลมหายใจของ “ลิเก” คงอยู่ต่อไป


