posttoday

เยี่ยมยามเมืองโบราณอู่ทอง ยลเสน่ห์การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

07 กรกฎาคม 2559

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน

ความปกติสุขตามอัตภาพของคนเมืองโบราณคือต้นทางของอรุณรุ่งแห่งวัฒนธรรมไทย จึงไม่แปลกที่ท่วงทำนองสามัญซึ่งสอดแทรกอยู่ในความธรรมดาของเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จะกลายเป็นตัวขับให้มนต์เสน่ห์ของอาณาจักรทวารวดีสำแดงตนชัดเจนยิ่ง

ลูกปัดแก้วอายุกว่า 1,400 ปี ซึ่งประกาศความเป็นหนึ่งในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง สะกดให้คณะผู้มาเยือนพานพบกับความงดงามจากอดีตกาล ในขณะที่ลูกปัดแก้วหลากสีสันซึ่งเฉิดฉายอยู่ตามลำคอและข้อมือของคนพื้นเมือง อู่ทอง กลับเชื่อมร้อยเงาเวลาเข้าสู่อ้อมกอดแห่งปัจจุบัน

ตามคำเชื้อเชิญของ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยิ่งยืน (อพท.) ที่มุ่งหวังให้คณะผู้มาเยือนได้สัมผัสกับ “การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ซึ่งเป็นคำที่คุ้นหูและมักถูกหยิบยกขึ้นมาอวดอ้างในแคมเปญการท่องเที่ยวสม่ำเสมอ

ทว่า สำหรับการเยี่ยมยามเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ในครั้งนี้ กลับปรากฏรูปธรรมที่ผิดแผกแตกต่างออกไปถ้าไม่นับโปรแกรมเยี่ยมชม “โรงหล่อพระวิเชียร” ที่ประกอบการมาแล้ว 2 ชั่วอายุคน รังสรรค์ผลงานพระประธานวัดหลายแห่งทั่วประเทศแล้ว โครงการวิสาหกิจชุมชนวนเกษตรดงเย็น ซึ่ง อพท.ให้การสนับสนุนอยู่ สะท้อนภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้เป็นอย่างดี

คณะผู้มาเยือนนั่งล้อมวงเล็กๆ อยู่ในวิสาหกิจชุมชนวนเกษตรดงเย็น เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำเห็ด น้ำเต้าหู้ ถูกลำเลียงออกมาเสิร์ฟอย่างพร้อมสรรพ จากนั้นก็เป็นเวลาสำหรับอาหารคาวซึ่งทุกเมนูล้วนแล้วแต่ปรุงขึ้นด้วยวัตถุ ดิบธรรมชาติ ผักพื้นบ้านปลอดสาร

แวว แจ้งสว่าง หนึ่งในสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าว่า ชาวบ้านชุมชนดงเย็น 4 หมู่บ้าน เป็นชาติพันธุ์ลาวครั่ง ซึ่งมีวิถีวัฒนธรรมเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย การนับถือผีเจ้านายผีบรรพบุรุษ รวมทั้งประเพณีต่างๆ โดยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม

“การรวมกลุ่มกันตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนวนเกษตรฯ ก็เพื่อสร้างรายได้และความยั่งยืน แม้ว่าปัจจุบันจะมีสมาชิกเพียง 17 ราย แต่ก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมทุกวัน อาหารที่นี่ปลอดสารเคมี 100% ไม่ว่าจะเป็นข้าวอินทรีย์ ผักพื้นบ้าน และยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น เพาะต้นกล้าทานตะวัน คัดข้าวด้วยมือ และปลูกผักต่างๆ” ป้าแวว ชักชวนให้คนกรุงเข้ามาสัมผัสบรรยากาศ

อีกหนึ่งโครงการคือผลิตภัณฑ์ “ข้าวอินทรีย์ 100%” ซึ่งขายถุงละ 1 กิโลกรัม ราคา 80 บาท โดยมีให้เลือกทั้ง ข้าวกล้องหอมปทุมเทพฯ ข้าวกล้องหอมมะลิแดง ข้าวกล้องหอมไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องหอมนิล และข้าวกล้องสามสี นอกจากเป็นข้าวที่ถูกปลูกด้วยกรรมวิธีปลอดสารเคมีแล้ว จุดเด่นที่สุดของข้าวกลุ่มวนเกษตรคือเป็น “ข้าวคัดเม็ด” อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ นั่งคัดคุณภาพข้าวทีละเม็ดๆ ก่อนบรรจุภัณฑ์จัดจำหน่าย

พี่ปิ่น-ทวี แก้วสระแสน กลุ่มวนเกษตร เมืองโบราณอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เล่าว่า หลังจากสีข้าวแล้วต้องนำข้าวทั้งหมดมาร่อนมือเพื่อจำแนกขนาดเม็ดข้าวออกเป็น 3 ระดับ คือ เล็ก กลาง ใหญ่ จากนั้นก็มานั่งคัดด้วยมือทีละเม็ดๆ เอาเม็ดที่ดำและแตกออก ก่อนจะเอาไปขายได้

พี่ปิ่น เล่าอีกว่า ในอดีตเคยทำนาข้าวเคมีแบบคนทั่วไป แต่พอนานวันก็มีปัญหาสุขภาพจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาทำนาอินทรีย์ ซึ่งในระยะแรกก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลผลิตได้ปริมาณน้อย จาก 9 ไร่ ได้ข้าว 7 ตัน ก็เหลือเพียง 2 ตัน เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เริ่มท้อแท้และรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในชุมชน ก็ได้นำข้าวเปลือก 2 ตันที่เหลือไปแจกจ่ายญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน และคนรู้จัก ปรากฏว่าหลายคนกลับมาถามว่ามีข้าวแบบนี้ขายอีกหรือไม่ มากไปกว่านั้นก็เริ่มมีคนมาขอซื้อเรื่อยๆ

“ข้าวปกติ 1 กระสอบ 50 กิโลกรัม ราคา 1,100-1,200 บาท ปัจจุบันขายข้าวอินทรีย์ได้ถึงกระสอบละ 2,000 บาท โดยผลผลิต 9 ไร่ ทุกวันนี้ได้ประมาณ 4-5 ตัน” ชาวนารายนี้ เล่าอย่างภาคภูมิใจ

เธอเล่าต่อไปว่า นอกจากปลูกข้าวอินทรีย์แล้ว ยังพยายามต่อยอดด้วยการเปิดโรงสีเอง นั่นยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดน้อยลง ขณะที่เพื่อนบ้านก็เอาข้าวมาให้สีให้ นำไปสู่การรวมกลุ่มของชาวบ้านเพื่อทำนาอินทรีย์ เพราะนอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังได้ราคาดีอีกด้วย

“แม้ว่าเราจะไม่มีเงินก้อนแบบเอาข้าวไปขายให้โรงสี แต่เราทุกคนก็มีเงินใช้ตลอดทั้งปี ขอยืนยันว่าการทำเกษตรอินทรีย์ได้ผลจริง ส่วนตัวใช้เวลาเพียง 2 ปี เปลี่ยนจากนาเคมีมาเป็นนาอินทรีย์ 100%” เจ้าของโรงสีชุมชน ระบุ

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา