หานซิ่น ชีวิตสำคัญกว่า ความกล้าตามท้องถนน
หานซิ่น (231 B.C.–196 B.C.) คือขุนพลอันดับหนึ่งในยุคก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น หานซิ่นได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
หานซิ่น (231 B.C.–196 B.C.) คือขุนพลอันดับหนึ่งในยุคก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น หานซิ่นได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจไม่เป็นสองรองจากใคร
หานซิ่นตอนวัยรุ่นเป็นเพียงชายหนุ่มยากจน ไม่มียศไม่มีตำแหน่ง แต่มีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่ง คือชอบพกกระบี่ติดกาย
กระบี่ยุคนั้นมีความหมายมากกว่าเป็นอาวุธ เพราะเป็น Gadget แสดงชนชั้นว่าผู้ถือไม่ธรรมดา ผู้มีสิทธิพกกระบี่ในยุคนั้นต้องสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นผู้ดีมีตระกูล ไม่ใช่ชาวนาชาวไร่
หานซิ่นพกกระบี่ติดกายในยุคนั้นจึงสื่ออยู่สองนัย
หานซิ่นน่าจะมีเชื้อสายตระกูลผู้ดี แต่ก็คงเป็นรุ่นที่ตกอับร่วงโรยและยากจน ซึ่งมีไม่น้อยในยุคนั้น กระบี่นี้ก็น่าจะเป็นกระบี่ที่สืบทอดต่อกันมา เพราะหานซิ่นเองคงไม่น่าจะมีสตางค์พอที่จะจัดกระบี่ให้ตัวเองได้
และหานซิ่นคงพยายามแสดงตัวว่าตนไม่ใช่ชนชั้นสามัญ มีความหวังจะสร้างชื่อให้ปรากฏ หรืออาจจะแค่คิดว่าถึงชีวิตจะรันทด อย่างน้อยก็มีกระบี่ไว้เป็นศักดิ์ศรีติดตัวไว้บ้าง ก็เป็นได้
หานซิ่น ทั้งยากจน ทั้งไม่มีชื่อเสียง ไม่มีฝีมืออะไรให้เล่าลือ ทำการค้าก็ไม่เป็น จะหาเลี้ยงชีพตัวเองยังไม่ได้ หานซิ่นมักไปขอข้าวนายอำเภอกินเสมอ ขอกินบ่อยเข้าภรรยานายอำเภอไม่พอใจ จึงใช้วิธีทำกับข้าวแต่เช้าตรู่แล้วรีบเร่งให้คนในครอบครัวกินให้หมด จะได้ไม่ต้องแบ่งให้หานซิ่น
หานซิ่นชีวิตรันทดแต่ไม่โง่ รู้ว่าภรรยานายอำเภอจงใจไม่แบ่งข้าวให้อีก ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด ตัดขาดความสัมพันธ์กับนายอำเภอ... ซึ่งอันที่จริงก็ใช่จะอยากสานสัมพันธ์กับหานซิ่น
หานซิ่นต้องหากินเอาเอง จึงไปตกปลาที่ริมน้ำ แต่ก็ตกไม่ได้ หันไปมองอาเจ้อาม่ากลุ่มหนึ่งล้างใยฝ้ายอยู่ริมน้ำ สายตาหานซิ่นดูน่าสงสาร อาม่าคนหนึ่งจึงแบ่งข้าวกล่องที่ติดตัวมาให้ทาน
หานซิ่นอาศัยขอแบ่งข้าวกล่องอาม่าอยู่หลายวัน จนงานล้างใยฝ้ายใกล้จบ อาม่าจึงบอกว่าวันหลังจะไม่มาแล้วนะ หานซิ่นกล่าวขอบคุณอาม่า แล้วบอกว่า “วันหน้าข้าจะตอบแทนบุญคุณอาม่าอย่างงาม”
อาม่าสวนทันควัน “ลูกผู้ชายแค่หาเลี้ยงตัวเองยังหาไม่ได้ ยังมีหน้าจะมาตอบแทนบุญคุณอย่างงามอะไรกัน!”
หานซิ่นในสายตาผู้คนรอบตัวถ้าไม่ใช่คนน่ารังเกียจก็เป็นแค่คนน่ารันทด
ส่วนกระบี่ดีๆ เมื่อประดับคนไม่มีราศีก็มีค่าแค่แท่งเหล็ก มันก็ไม่เคยทำให้ชีวิตวัยหนุ่มของหานซิ่นงดงามขึ้นเลย แต่กลับดูน่าหมั่นไส้ซะอีก
เมื่อทั้งน่าหมั่นไส้ทั้งน่ารันทด จึงไม่พ้นต้องมีคนดูถูก และลบหลู่
ครั้งหนึ่งมีอันธพาลกลุ่มหนึ่งหาเรื่องหานซิ่นที่กลางตลาด เรียกหานซิ่นมาท้าทายว่า “ตัวก็สูงใหญ่ กระบี่ก็ดี แต่ขี้ขลาดซะเปล่า”... “เก๋าจริงรึเปล่าเนี่ย เรา”
“มา ถ้ากล้าจริงก็ชักกระบี่ออกมาเสียบข้าซะ ถ้าไม่กล้าก็จงมาลอดหว่างขาข้าซะ”
จีนมุงเริ่มมา หานซิ่นนิ่งเงียบจ้องอยู่อันธพาลคนนั้นซักพักใหญ่ ท่ามกลางเสียงเฮของจีนมุง... ลุ้นว่าจะชักดาบออกมาหรือคลานลอดหว่างขาไป
ซักพักหานซิ่นก้มหัวลงไป แล้วคลานลอดหว่างขาอันธพาลคนนั้น เสียงชาวบ้านตบมือเฮฮาบันเทิงดังระงม ความบันเทิงกลางตลาดก็จบไปอีกหนึ่ง
หานซิ่นเอาตัวรอดมาอย่างน่าอับอาย
ผ่านไปไม่กี่ปี หานซิ่นอาสาเข้าร่วมทัพกับเซี่ยงอวี่ ขุนพลตัวเก็งที่น่าจะได้ครอบครองแผ่นดิน แม้เขาพยายามเสนอตัวแสดงศักยภาพทางการทหาร แต่เซี่ยงอวี่ไม่เห็นค่า กลับให้เขาเป็นแค่ทหารชั้นเลว
หานซิ่นจึงลองเข้าร่วมกลุ่มหลิวปัง ผู้นำซึ่งเป็นลูกไล่เซี่ยงอวี่ทั้งชื่อชั้นและฝีมือ ช่วงแรกหานซิ่นก็เป็นแค่นายทหารธรรมดา แม้จะแสดงวิสัยทัศน์อย่างไรก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครแคร์ จะมีก็แต่เซียวเหอที่ปรึกษาคนสำคัญของหลิวปัง ที่เห็นความไม่ธรรมดาของหานซิ่น
แต่หานซิ่นรอมาเนิ่นนานไม่เห็นหนทางไต่เต้า จึงทอดถอนต่อโชคชะตา และหนีไปหาหนทางอื่นต่อ เซียวเหอเห็นไม่ได้ทีลงทุนออกตามหานซิ่นกลับมา แล้วแนะนำให้หลิวปังใช้หานซิ่นเป็น ผบ.ทบ. แรกๆ หลิวปังไม่ได้เชื่ออะไร แต่ต่อมาจึงค้นพบว่าหานซิ่นเป็นตัวจริงที่ทำให้หลิวปังสามารถเอาชนะเซี่ยงอวี่ได้
หลิวปังได้แผ่นดินไปครอง หานซิ่นกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้มีความชอบสูงสุด
หลังจากนั้นชีวิตหานซิ่นยังต้องเผชิญมรสุมขึ้นลงอีกมากตามภาษาแม่ทัพมือหนึ่ง ทุกวันนี้สุภาษิตหลายประโยคของจีน สืบทอดมาจากวีรกรรมและกลยุทธ์การรบของหานซิ่น
หานซิ่นคงจะไม่มีชื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ หากข้ามผ่านวันอันรันทดเมื่อวัยหนุ่มเหล่านั้นมาไม่ได้
วินาทีก่อนที่หานซิ่นจะตัดสินใจลอดหว่างขาอันธพาลนั้นไป หานซิ่นยืนนิ่งอยู่นาน หานซิ่นคิดอะไร?
“วันนี้ยอมมันไปก่อน วันหนึ่งข้างหน้าข้าจะเป็นใหญ่”...ก็อาจจะ/ “ชีวิตมีค่า อย่าเพิ่งเอามาทิ้งด้วยศักดิ์ศรีโง่ๆ”... ก็ไม่แน่/ “ไอ้พวกอันธพาล มีเรื่องกับมันวันนี้ไม่จบแน่”...ก็เป็นได้/ หรือแค่ “อย่าหาเรื่องเจ็บตัวดีกว่า ยอมพวกนั้นไปเหอะ”...แค่นั้นเอง
หลายคนคงอยากรู้ว่าวีรบุรุษยามตกอับมองไม่เห็นอนาคตคิดอย่างไร เห็นทีคงจะต้องปลุกหานซิ่นขึ้นมาเท่านั้นถึงรู้ได้
แต่ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น... หานซิ่นหลังจากได้ดิบได้ดี เดินทางกลับไปหาอาม่าใยฝ้ายที่เคยแบ่งข้าวให้กิน ตบรางวัล 1,000 ตำลึง พร้อมบอกว่า “ท่านเป็นคนดี รางวัลนี้แค่ให้ไว้ก่อนเท่านั้น วันหลังมีอีกแน่”
แล้วจึงแวะไปบ้านนายอำเภอ แต่คราวนี้ให้แค่ 100 ตำลึง พร้อมกล่าวว่า “รางวัลมีแค่เท่านี้ สำหรับท่านที่ดันช่วยคนแล้วช่วยไม่สุด”
คิวต่อไปจึงเป็นอันธพาลที่ให้หานซิ่นลอดหว่างขา ต่อหน้าหานซิ่น อันธพาลตัวสั่นงันงก ด้วยฐานะหานซิ่นทุกวันนี้ จะฆ่าเขาก็เหมือนคิดขยี้มดปลวก
แต่หานซิ่นกลับแต่งตั้งอันธพาลคนนั้นเป็นผู้กองมีหน้าที่ดูแลท้องที่ (แปร่งๆ ชอบกล) แล้วบอกกับผู้คนว่า “คนคนนี้เป็นนักเลงนักรบ อดีตตอนเขาดูถูกข้า ข้าจะลงมือฆ่าเขาไม่ได้หรือ? ได้! แต่ฆ่าเขาแล้วจะได้ชื่อเสียงอะไร ฉะนั้นข้าจึงทนการลบหลู่ จนมีทุกวันนี้ได้”
ไม่ต้องปลุกหานซิ่นขึ้นมาถามแล้ว เพราะหานซิ่นประกาศความคิดตัวเองจารึกลงในประวัติศาสตร์เรียบร้อย “สู้ได้ ฆ่าได้ แล้วได้อะไร มิสู้อดทนไปเพื่อวันข้างหน้า”
อาจเป็นคำประกาศที่ต้องสงสัย เพราะมองยังไง หานซิ่นก็ได้ประโยชน์จากคำประกาศนี้ หนึ่งคือได้ชื่อเรื่องความใจกว้าง และอันธพาลคนนั้นจะต้องสำนึกบุญคุณพร้อมกลายเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาความใจกว้างของเขาไปทั่ว สองคือได้แก้เก้อว่าอันธพาลที่ลบหลู่เขาได้ก็ไม่ใช่ย่อย
ซึ่งหากหานซิ่นเดินหมากแก้แค้นรังควาญ เท่ากับหานซิ่นโดนลบหลู่จริง และใจแคบ รังแกคนต่ำศักดิ์
ไม่ว่าหานซิ่นคิดแบบนั้นจริงหรือไม่ ก็เชื่อว่าปลุกหานซิ่นขึ้นมาถามทีไรก็คงได้คำตอบครือๆ กัน เพราะมันเป็นคำตอบที่ “หล่อมาก”
อย่างไรก็ตาม หานซิ่นคือผู้รอดและผู้ชนะ ย่อมถือสิทธิย้อนกลับไปลิขิตความคิดตัวเองได้อย่างเต็มที่ และถึงหานซิ่นจะคิดอย่างไร ถ้าหานซิ่นไม่อดทนต่อการลบหลู่ต่างๆ นานาได้จริง แต่กลับท้อถอย หรือกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ก็คงไม่มีวันนี้ของหานซิ่นจริงๆ
ยังไงก็ต้องให้เครดิตหานซิ่นว่าตัดสินใจไม่ผิด
ชีวิตมีค่ามากกว่าเกียรติยศชื่อเสียงตามท้องถนนมากนัก ความกล้าเพื่อลบคำสบประมาทริมทางไม่จบด้วยการปะทะต่อยตีเจ็บตัว ก็จบด้วยชีวิต
อดทนต่อคำลบหลู่ คำสบประมาท เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้ประสบความสำเร็จ
ขอเพียงยังมีลมหายใจ ชีวิตยังมีโอกาสไขว่คว้าเกียรติยศชื่อเสียงที่สูงส่งและเป็นสาระกว่า มีสติและคิดชั่งผลดีผลเสียเข้าไว้ ถึงไม่ได้เป็นแม่ทัพ วันหน้าวันหลังก็ยังมีอะไรดีๆ ให้ทำอีกเยอะ...


