วรพล จินตโกศล ขอบคุณความโชคดีจึงมีวันนี้

โดย...วรธาร ภาพ กิจจา อภิชนรจเลข

ความโชคดีในท่ามกลางความวิกฤตอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไปว่าไหมครับ ทว่า สำหรับหนุ่มหล่อสูงโปร่งมาดแมนจากปักษ์ใต้ อ.สะเดา จ.สงขลา วัย 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ "บลิว-วรพล จินตโกศล" นักแสดงใหม่ในสังกัดช่อง 7 สี เจ้าของตำแหน่งสมาร์ทบอย ปี 2015 คนนี้ บอกเลยว่าทุกวิกฤตในย่างก้าวชีวิตที่ผ่านมาของบลิวมีความโชคดีอยู่ในนั้น และเขาไม่มีวันลืมแต่ละเหตุการณ์ที่บางเหตุการณ์อาจไม่ถึงขั้นจะเรียกว่าวิกฤตอย่างแน่นอน

##คลอดได้ 2 ชม. หยุดหายใจ ตัวคล้ำ ปากดำ

เหตุการณ์แรก การลืมตามาดูโลกของ บลิว วรพล ช่างเผอิญมาเจอกับวิกฤตเต็มเปา กล่าวคือเขาไม่ได้คลอดจากครรภ์ของคุณแม่โดยวิธีธรรมชาติ แต่คลอดจากครรภ์ของแม่โดยการผ่าคลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคุณแม่จำนวนไม่น้อยก็คลอดลูกด้วยการผ่าคลอด ทว่าในเคสของบลิวกลับเกิดเหตุการณ์ช็อกหัวใจพ่อและแม่อย่างยิ่ง เรียกว่าเกือบทำให้หัวใจของสองบุพการีที่กำลังพองโตที่จะมีลูกคนแรกไว้เชยชมต้องแทบสลาย

"พ่อเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากคุณหมอได้ผ่าคลอดแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรน้ำคร่ำยังออกไม่หมดจนต้องรีบนำผมไปพักไว้ห้องเด็กแรกคลอด ส่วนคุณแม่ก็อยู่คนละห้องเพราะต้องพักฟื้นร่างกายจากการผ่าคลอด แต่ผ่านไปสองชั่วโมงพ่อบอกว่าตัวผมผิดปกติ คือตัวจะซีดมาก หน้าเขียวคล้ำ โดยเฉพาะริมปากฝีปากออกดำคล้ำจนผิดสังเกต

ทว่า สิ่งที่ทำให้คุณพ่อช็อกยิ่งกว่านั้นคือพยาบาลมาบอกว่าผมไม่หายใจ ซึ่งวินาทีที่พ่อได้ยินว่าลูกไม่หายใจ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่นาทีนั้นทางคุณหมอและพยาบาลก็พยายามช่วยกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ลมหายใจผมกลับมาด้วยการให้ออกซิเจนและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

 

คุณพ่อตกใจมากและกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาไหลออกมาอาบเปื้อนใบหน้าเศร้าๆ โดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่ท่านนึกออกคือการเดินไปหาคุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียงในอีกห้องหนึ่ง พร้อมกับบอกคุณแม่ว่าลูกของเราไม่หายใจ แต่ไม่ต้องห่วงคุณหมอกำลังช่วยลูกเราอยู่นะ

จากนั้นคุณพ่อก็ถลันออกจากห้องผละจากคุณแม่เพื่อกลับมาดูผมต่อ แต่อีกไม่กี่นาทีจากนั้นคุณแม่ก็หอบร่างกายที่เจ็บระบมจากการผ่าคลอดมาห้องเพื่อดูผมด้วยทั้งเลือดจากแผลที่ผ่าคลอดหยดลงพื้นเป็นระยะ โดยที่คุณพ่อก็ไม่คิดว่าแม่จะมาหาผมได้ เพราะคิดว่าคุณแม่ยังเดินไม่ได้ถนัดเพราะเพิ่งผ่าตัด พอคุณพ่อเห็นก็ตกใจเข้าไปประคองแม่ ซึ่งผมนึกถึงภาพตอนนี้แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาดื้อๆ ครับ"

เจ้าของรางวัลสมาร์ทบอย ปี 2015 เล่าต่อว่า กับวินาทีที่คุณหมอพยายามกอบกู้ชีวิตของเขา พ่อกับแม่ทุกข์ใจมากและกระสับกระส่ายร้อนรนไปตามๆ กัน กลัวว่าเขาจะจากไปชั่วนิรันดร์ ทั้งสองคงได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบรรดามีเท่าที่จะกล่าวอ้าง ได้ช่วยปกปักคุ้มครองเขา ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ให้เขาฟื้นและได้ลมหายใจกลับคืนมา

แล้วปาฏิหาริย์ที่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ และใช่ว่าจะเกิดกับทุกคนก็มีจริง และเกิดขึ้นกับครอบครัวจินตโกศลโดยเฉพาะพ่อและแม่ของเขา เมื่อบลิวค่อยๆ ฟื้นและได้ลมหายใจคืนมาจากการที่คุณหมอและพยาบาลพยายามช่วยด้วยการปั๊มออกซิเจนอย่างใกล้ชิดท่ามกลางความใจจดใจจ่อของพ่อและแม่ที่หวังว่าโชคจะเข้าข้าง

"พ่อบอกว่าตอนที่ผมฟื้นขึ้นมา ท่านกับแม่ดีใจมากที่สุดในชีวิต และถือเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตทั้งท่านและผมด้วย เพราะว่าการอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องลุ้นและเกี่ยวกับความเป็นความตายนั้นมันทุกข์แค่ไหน แต่โชคยังเข้าข้างที่มัจจุราชไม่อาจพรากผมไปจากท่านได้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีวาสนาที่จะได้อยู่กับพ่อแม่จนถึงวันนี้"

 

กระนั้น แม้บลิวจะรอดพ้นจากพญามัจจุราชไปได้แบบต้องลุ้นระทึกนาทีต่อนาที แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร ซึ่งจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลตามคำแนะนำของหมอ

"คุณหมอบอกว่าเม็ดเลือดผมไม่ดี ร่างกายจึงไม่แข็งแรง สาเหตุคิดว่าคงมาจากภาวการณ์ที่ผมไม่หายใจนั่นแหละ ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำคุณพ่อคุณแม่ให้พาผมไปตากแดดทุกเช้าเป็นเวลา 3 เดือนเป็นอย่างน้อย และทุกวันคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะอุ้มผมไปนั่งผึ่งแดดตอนเช้าไม่เคยขาด ทำอย่างนี้ๆ ตามที่คุณหมอบอกจนอาการดีขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ" นักแสดงใหม่ช่อง 7 สี จากการประกวดสมาร์ทบอย เล่าถึงความโชคดีจากวิกฤตแรกในชีวิต

##ล้มหัวฟาดพื้นตอนสามขวบ

ถัดมาเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะไม่วิกฤตเท่าเหตุการณ์ครั้งแรก (ตอนผ่าคลอด) แต่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่อาจลืมเลือนในชีวิตของเขา เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาอย่างน่าเป็นห่วง เพราะเกี่ยวกับสมอง และก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อกับแม่ถึงกับเปรยออกมาว่า "ทำไมลูกถึงได้เจอแต่เหตุการณ์ร้ายๆ เจอแต่เรื่องหนักๆ ในชีวิต"

วรพล เล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟังว่า ตอนที่เขาอายุ 3 ขวบ ซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่ชอบวิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาได้ยินเสียงเครื่องบิน ด้วยความที่เป็นเด็กพอได้ยินเสียงก็อยากรู้ จึงวิ่งออกไปดูโดยไม่ทันระวัง แล้วเกิดลื่นล้มหัวฟาดพื้นบนทางลาดชันอย่างแรง โดยวินาทีที่ล้มลงและหัวกระแทกพื้นนั้น เขารู้สึกว่าสายตามองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวแค่รางๆ พูดได้ แต่คนฟังไม่รู้เรื่อง อาการเหมือนเบลอๆ  

 

"คุณแม่รีบเข้ามาดูและคิดว่าผมคงไม่เป็นอะไรมาก ก็ให้นอนพักสักครู่คิดว่าอาการคงจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คุณแม่คิด เพราะนอกจากผมจะมึนๆ มองไม่ค่อยเห็นแล้วยังหายใจไม่ค่อยออก ทั้งตัวเย็น มือไม้เหมือนขยับไม่ได้ แถมจะอ้วกอีกด้วย พ่อแม่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบพาส่งโรงพยาบาล เข้าห้องไอซียูทันที

หมอบอกว่าความดันตอนนั้นต่ำมาก ต้องรีบรักษาเพราะหัวฟาดพื้นสมองอาจได้รับกระทบกระเทือน พอคุณหมอได้เอกซเรย์ก็เป็นโชคดีที่สมองของผมไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมาก อยู่โรงพยาบาล 1-2 วัน คุณหมอก็ให้กลับบ้านได้ แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้พ่อแม่ห่วงมากกลัวว่าผมจะเป็นอะไรอีก ท่านจึงใส่ใจมากเวลาที่ผมทำอะไร" บลิว เล่าวิกฤตครั้งที่สองที่ก็ผ่านมาได้ด้วยความโชคดี

##สิบขวบหนักร้อยเจ็ดกิโลกรัม

ใครจะคิดว่าบลิวเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด แต่พอกาลเวลาผ่านไปจนอายุ 10 ขวบ เขาต้องกลายสภาพมาเป็นเด็กอ้วนที่น้ำหนักตัวมหาศาลอยู่ที่ 107 กก. แต่เหนืออื่นใดใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มจากสงขลาคนนี้จะมุมานะอย่างแรงกล้าสามารถลดน้ำหนักตัวลงได้จาก 107 กก. เหลือ 70 กก. ในปัจจุบันจนกลายเป็นหนุ่มหุ่นดีแถมหล่ออีกต่างหาก    

"ตอน 10 ขวบ ผมกินเก่งและกินเยอะครับ ทั้งพิซซ่า อาหารมันทั้งหลายกินหมด อยากกินอะไรคุณพ่อคุณแม่ก็จัดให้ จนน้ำหนักทะลุ 107 กก. ไปโรงเรียนมีแต่โดนเพื่อนล้อตลอด จนวันหนึ่งไม่อยากอ้วนอีกต่อไป เลยบอกคุณพ่อ ป๊าๆ ช่วยลดน้ำหนักให้บลิวหน่อย พ่อบอกได้เลย ท่านก็ไปซื้อจักรยานมาคันหนึ่งให้ผมปั่นออกกำลังกายลดน้ำหนัก

ตอนที่ผมลดน้ำหนัก ผมชอบดูละครช่อง 7 นะ และชอบพี่เวียร์ สกลรัตน์ กับพี่พอร์ช ศรัณย์ บางทีดูไปก็อยากเป็นดาราเหมือนพี่เขาบ้าง (ยิ้ม) อีกอย่างผมมีไอดอล คือ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ด้วยหุ่นเขาเท่มาก จึงเป็นแรงบันดาลใจให้อยากลดน้ำหนัก คุณพ่อบอกว่าการลดน้ำหนักต้องใช้เวลา ผมบอกโอเคตามป๊าเลย แล้วท่านก็พาออกกำลังกายทุกวัน

 

คุณพ่อให้ผมปั่นจักรยานทุกวันโดยตามท่านที่ขี่มอเตอร์ไซค์ โดยพ่อจะใช้ความเร็ว 40 ซึ่งผมต้องปั่นให้ทัน ถ้าไม่ทันอาจหลงทางได้ ปรากฏว่าปั่นแล้วได้ผลดี เหงื่อไหลดีมาก ทำอยู่ 3 สามเดือน ก็มีท้อบ้าง แต่ใจแข็งบอกตัวเองว่าท้อไม่ได้ต้องให้เห็นผลลัพธ์ก่อน ผมสู้ต่อ 8 เดือนจนลดได้ 30 กก. โดยใช้จักรยานเป็นหลัก เสริมด้วยการวิ่ง เล่นฟุตบอล เข้าฟิตเนส ควบคุมอาหาร โดยพฤติกรรมการกินที่ผ่านมาเลิกหมด"

เจ้าของตำแหน่งสมาร์ทบอย ปี 2015 เล่าต่อว่า ตอนที่เข้าประกวดสมาร์ทบอยปี 2015 เขาใช้เวลา 3 อาทิตย์ในการลดน้ำหนัก ซึ่งสามารถลดได้ถึง 9.5 กก. ด้วยการวิ่งขึ้นเขาทุกเช้าและเย็น ปัจจุบันน้ำหนักจะอยู่ที่ 70 กก. กับส่วนสูง 186 ซม. ถือเป็นสัดส่วนที่เขารู้สึกพอใจ

เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับความโชคดี แต่เกี่ยวกับจิตใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน และการไม่ยอมแพ้ ซึ่งบลิวยอมรับว่าถ้าเขาถอดใจเลิกล้มกลางคัน หุ่นเขาก็อาจจะไม่เป็นอย่างเช่นในปัจจุบัน    

##บนความถูกหลอกแต่ดันได้ดี 

ก่อนนี้ บลิว วรพล ก็แค่เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ซึ่งคงไม่มีใครรู้จักเขาอยู่แล้ว แต่พอเข้าประกวดเวทีสมาร์ทบอย (smart boy) ในปี 2015 ที่ช่อง 7 สี จัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยก้าวสู่วงการนายแบบและวงการบันเทิง โดยเฉพาะการได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของช่อง 7 ประชาชนก็เริ่มรู้จักและจะรู้จักมากขึ้นเมื่อมีผลงานละคร และตอนนี้กำลังจะมีละครอยู่ 2 เรื่องทางช่อง 7 คือ ขมิ้นกับปูน กับ อกธรณี 

เวทีสมาร์ทบอยถือเป็นเวทีประกวดครั้งแรกของบลิว ซึ่งเขาเข้ามาประกวดในเวทีนี้เพราะมีโมเดลลิ่งติดต่อมาทางเฟซบุ๊กเขาให้มาประกวด โดยทางโมเดลลิ่งรับปากจะดูแลทุกอย่างรวมถึงค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เช่น ค่าเดินทาง ที่พัก ค่าชุด เป็นต้น ด้วยความที่เป็นช่อง 7 ประกอบกับมีใจกับวงการนี้อยู่ จึงตัดสินใจมาประกวดโดยมีคุณพ่อเดินทางมาเป็นเพื่อน

 

"ก่อนจะลงกรุงเทพฯ ผมกับคุณพ่อคุยกับโมเดลลิ่ง เขาบอกว่าจะดูแลทุกอย่างตามที่คุยกัน พอถึงสนามบินกรุงเทพฯ โทรหาพี่เขา โทรหลายครั้งติดแต่ไม่รับสาย ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไม่เคยมากรุงเทพฯ เงินที่เอามาก็ไม่ได้เยอะก็ไปเช่าห้องอยู่เอง ตอนนั้นเหมือนถูกลอยแพ ตื่นมาปรึกษาพ่อ พ่อบอกไหนๆ มาแล้วลองสู้สักตั้งลูก ถือเสียว่ามาเอาประสบการณ์ จึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปช่อง 7 ถึงเที่ยง แต่ชุดก็ไม่มี เด็กบ้านนอกชัดๆ เลย ขณะที่คนอื่นมาเต็ม

จนเหลือเวลา 15 นาทีจะหมดเวลาสมัคร พ่อจึงให้ไปสมัครได้เบอร์ 3 รอบแรกคัดตัวจาก 200 คน เอา 40 คน บลิวติด พอรอบสองคัดเหลือ 12 คน บลิวติดด้วย เขาก็มา พร้อมเอาชุดมาให้ใส่ พ่อก็ให้ใส่เพราะไม่อยากเสียน้ำใจ อย่างน้อยก็เห็นในความดีที่เขาชวนให้มาประกวด แต่รอบสองนี้พ่อก็คิดว่าจะสู้ต่อไหมเพราะเราไม่เงิน ไหนจะค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าชุด ทางพี่เขาบอกจะช่วย แต่เงินที่เขาเสนอมานั้นไม่พอแม้แต่กับค่าเดินทางจากใต้มากรุงเทพฯ พ่อจึงจะสู้เอง ไหนๆ ก็สู้มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งยอมทิ้งงานมาเพื่อลูก

กระทั่งวันตัดสินวันที่ 9 ธ.ค. ผมที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากพี่เลี้ยงทั้งหาชุดและแต่งหน้า (แต่พี่โมเดลลิ่งก็มานะ) และบนเวทีประกวด (ตอนนั้นประกวดที่เซ็นทรัลเวิลด์) ผมชนะเลิศได้เป็นสมาร์ทบอย แต่รู้ไหมวินาทีที่ประกาศผลผมไม่เห็นพ่อ ปกติพ่อจะถ่ายรูปข้างมุมเวที ผมมารู้ทีหลังเสร็จสิ้นการประกวดว่าพ่อกล้ามเนื้อฉีกลุกเดินไม่ได้ ตอนนั้นผมสงสารพ่อจับใจ พยุงพ่อออกจากห้างเพื่อจะพาไปหาหมอ นึกไม่ออก ไม่รู้จะหาใครช่วย นึกถึงพี่โมเดลลิ่ง โทรหาพี่เขาให้พาพ่อไปหาหมอ แต่เขาบอกให้ผมพานั่งแท็กซี่ไป แต่ช่วงนั้น 4 โมงเย็นคันไหนก็บอกส่งรถๆ มีคันหนึ่งต้องขอร้องเขาจึงช่วย

ทว่า หลังจากเหตุการ์ณ์ผ่านไป พวกพี่เขา (มีสองคน) ก็มาหาผมกับพ่อเพื่อพูดคุยเรื่องส่วนแบ่งจากรางวัลชนะเลิศ พี่ลองคิดดู ตอนที่ผมขอความช่วยเหลือเขาให้ช่วยพาพ่อผมไปหาหมอกลับไม่ยอมช่วย จะให้ผมรู้สึกยังไงเพราะตอนนั้นพ่อผมเดินไม่ได้ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณพี่เขานะที่แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรผมกับพ่อตามที่เขาตกปากรับคำ แต่ผมก็โชคดีมากและมาไกลเกินที่คิดไว้"