ความรักและการต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก
ผมขอยกให้ภาพยนตร์เรื่อง Equals คือภาพยนตร์รักแห่งปีครับ! แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์รักหวานโรแมนติก
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร
ผมขอยกให้ภาพยนตร์เรื่อง Equals คือภาพยนตร์รักแห่งปีครับ!
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์รักหวานโรแมนติก แต่มันกลับทำให้เราได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของความรักที่เรามีให้ใครสักคน แม้ว่าผลลงเอยมันจะไม่เป็นไปอย่างที่เราวาดหวังไว้ แต่เราก็ยังรักใครคนนั้นอยู่เต็มหัวใจ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของโลกแห่งอนาคต ที่มนุษย์ถูกดัดแปลงยีนจนกลายเป็นคนไร้อารมณ์ความรู้สึก เพื่อป้องกันไม่ให้สงครามและความขัดแย้งที่เคยทำลายมนุษยชาติรุ่นก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่การยับยั้งย่อมมีการทำงานที่ผิดพลาด อารมณ์ที่อยู่ภายในมนุษย์ของบางคนถูกแสดงออกมา รัฐบาลประชาคมเรียกอาการนี้ว่า “ส.ส.อ.- สภาวะแสดงอารมณ์” และเมื่อสังคมถูกคุกคามด้วยสภาวะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดกลัวก็เพิ่มมากขึ้น ผู้มีอาการในระยะเริ่มต้นต้องเข้ารับการรักษา แต่หากมีอาการรุนแรงจะถูกส่งตัวไปที่ “ห้องนั่งเล่น” ซึ่งเป็นสถานกักกันที่ไม่เคยมีใครได้กลับออกมา
ในเรื่องนี้ นิโคลัส โฮลท์ รับบทเป็นไซลาส และ คริสเตน สจ๊วร์ต รับบทเป็นนีอา ทั้งคู่คือเพื่อนร่วมงานกันในสำนักข่าววิทยาศาสตร์ชื่อ Atmos ในวันหนึ่ง ไซลาสสัมผัสได้ว่าเขาเริ่มมีอาการ ส.ส.อ. และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถละสายตาจากนีอา หญิงสาวผู้กำลังซ่อนอาการ ส.ส.อ.ของตัวเองไว้เช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งทั้งสองพยายามปิดบังความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายมากขึ้นเท่าไร ความเข้มข้นของอารมณ์ยิ่งดึงดูดพวกเขาเข้าหากันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อทั้งคู่สบโอกาสในการเปิดใจ ทั้งคู่ก็ได้ปล่อยให้หัวใจตัวเองได้ใกล้ชิดกัน ความใกล้ชิดของพวกเขาแม้จะสร้างความสุขสมให้เกิดขึ้นมากเพียงใด แต่มันก็เป็นเหตุให้ทั้งสองต้องอยู่ห่างไกลกันมากขึ้นเท่านั้น
การต่อสู้เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกัน สัมผัสเนื้อตัวของกันและกัน ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ให้แก่กันและกันนี่แหละ คือความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้
ผมชอบวิธีการแสดงของทั้งคู่ (นิโคลัส โฮลท์ และ คริสเตน สจ๊วร์ต) ที่ต้องปัดความรู้สึกทางอารมณ์ออกไป โดยไม่มีอารมณ์หลงเหลืออยู่ แต่ก็ต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าทั้งคู่มีภาวะอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ข้างใน ที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกวินาที ซึ่งความท้าทายทางการแสดงนี้ ก็ได้ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องฝึกฝนการแสดงอยู่นาน เพื่อให้จังหวะการแสดงของเขาทั้งคู่นั้นเชื่องช้า ไร้ความรู้สึก แต่เต็มไปด้วยความนึกคิด อารมณ์ และความรู้สึก ยิ่งเมื่อทั้งคู่ระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รัก อารมณ์โหยหา อารมณ์กระหายในกันและกัน รวมทั้งอารมณ์เศร้าเสียใจ และอารมณ์โกรธ มันกระตุ้นอารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัด เหมือนคนดูเป็นส่วนหนึ่งของภาวะอารมณ์ของคนทั้งคู่ ชนิดที่เรียกได้ว่า เธอมีภาวะอารมณ์แบบไหน ฉันก็มีภาวะอารมณ์แบบนั้น ไม่ต่างกัน
ข้อดีอีกข้อที่ทำให้ผมชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือมู้ดและโทน ที่สะท้อนให้เราได้เห็นภาพของโลกแห่งอนาคตที่มีความน้อยแต่มาก (Less is More) และมันก็ทำให้เราคนดูรู้สึกเหมือนตัวเองก็คือหนึ่งในคนที่ถูกดัดแปลงยีนจนกลายเป็นคนไร้อารมณ์ความรู้สึกไปด้วยเช่นเดียวกัน (ภาพที่ถูกนำเสนอ ดูไร้อารมณ์ ไร้สีสัน มีแต่ความเย็นชา) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น โดยเน้นถ่ายทำ ณ อาคารสไตล์มินิมอล ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น “ทาดาโอะ อันโด” ในความรู้สึกของผม อาคารสไตล์มินิมอลนี้นี่แหละ ถือเป็นตัวละครเอกตัวละครหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเราจะได้เห็นอาคารนี้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง และมันก็มีส่วนทำให้เราคนดูได้...รู้สึก...ไปกับความไร้อารมณ์ความรู้สึกของภาพที่อยู่ตรงหน้า
ก่อนลาจากกัน ผมขอทิ้งท้ายข้อคิดไว้หนึ่งข้อครับ “ทุกการต่อสู้ ได้มาซึ่งชัยชนะและความพ่ายแพ้เสมอ อยู่ที่เราจะกล้าหาญต่อสู้หรือเปล่า ก็เท่านั้น ความรักก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าผลสุดท้าย เราจะพ่ายแพ้ หรือได้รับชนะ ขอให้เราได้ต่อสู้เพื่อความรักที่เราปรารถนาเถิด อย่ายอมแพ้ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นต่อสู้”


