posttoday

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

10 พฤษภาคม 2559

ในปี 2554 ผลสรุปจากการประชุมของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) องค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO)

โดย...พริบพันดาว ภาพ... คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ในปี 2554 ผลสรุปจากการประชุมของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) องค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) เกี่ยวกับอันตรายจากคลื่นและเสาสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ มีสาระสำคัญๆ ดังนี้

1.การประชุมได้พิจารณาผลงานวิจัยนับร้อยชิ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 2.ผลงานวิจัยทั้งหมดไม่เพียงพอหรือไม่สามารถบอกได้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในกรณีปกติทั่วไป ทำให้เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง 3.งานวิจัยที่บ่งบอกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเยอะเกินไปเป็นเวลานาน (มากกว่า 30 นาที/วัน เป็นเวลากว่า 10 ปี) เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง 40% มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ (ทุกคนมีโอกาสเป็นเนื้องอกสมอง แต่ถ้าคุณใช้มือถือมากเกินไป โอกาสที่จะเป็นเนื้องอกมีมากขึ้น) อย่างไรก็ตามเป็นงานวิจัยเพียง 1 ชิ้น ซึ่งจะต้องรองานวิจัยจากกลุ่มอื่นยืนยันต่อไป 4.ที่ประชุมจัดให้คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่อยู่ในกลุ่ม 2B คือหมายถึงกลุ่มที่อาจจะเพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง (Possibly carcinogenic to humans) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องสำอางบางชนิด

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

สำหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออยู่ในช่วงไมโครเวฟมีความถี่ประมาณ 800-2500 MHz (1 MHz = 1 ล้านลูกคลื่นต่อวินาที) เป็นคลื่นที่สามารถทะลุเข้าไปในร่างกายมนุษย์หรือเนื้อเยื่อได้ง่าย (ต่างกับคลื่นแสงที่ไม่สามารถทะลุผิวหนังเข้าไปลึกๆ ได้) และเป็นช่วงคลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตาไมโครเวฟ ถึงแม้กำลัง (อัตราพลังงานที่ใช้ต่อวินาที) ของโทรศัพท์มือถือ (1-2 วัตต์) จะน้อยกว่าของเตาไมโครเวฟ (ประมาณ 1,000 วัตต์) แต่เนื่องจากเป็นความถี่ในช่วงเดียวกัน จึงทำให้เกิดความกังวลเรื่องอันตรายจากคลื่นในช่วงนี้ขึ้นมา ซึ่งความกังวลหลักมีอยู่ 2 ประเด็น คือ คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือทำให้เซลล์สมองเกิดความผิดปกติโดยตรงหรือไม่? และความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟส่งผลทางอ้อมต่อสมองหรือไม่อย่างไร?

ปัจจุบันก็ยังเป็นข้อถกเถียงทางวิชาการที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือเชื่อว่าเป็นอันตรายและใช้ได้อย่างปลอดภัยถ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นปัญหาโลกแตกที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อและยืนยันหลักคิดของแต่ละฝ่าย

กสทช.ยืนยันไม่เป็นอันตราย

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บอกว่า หน่วยงานวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลก ได้ประกาศเมื่อปี 2554 หลังจากประเมินผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้จัดให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุ (คลื่นวิทยุ) เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งอยู่ในกลุ่ม 2B (อาจเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง) การจัดให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุอยู่ในกลุ่มนี้มีพื้นฐานมาจากการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์มือถือ อนึ่ง กาแฟ ผักดอง และไอเสียเครื่องยนต์เบนซินก็อยู่ในกลุ่ม 2B นี้ด้วย

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

คลื่นวิทยุจากเสาส่งสัญญาณมือถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ซึ่งหน่วยงานวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลกได้ศึกษาว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุ (คลื่นวิทยุ) จากแหล่งกำเนิดต่างๆ (เรดาร์ โทรศัพท์มือถือ สถานีวิทยุกระจายเสียงสถานีวิทยุโทรทัศน์ และเสาส่งสัญญาณมือถือ ฯลฯ) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่ ผลปรากฏว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง ยกเว้นกรณีที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานโดยเฉลี่ยวันละ 30 นาที ไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งดูเหมือนจะชี้แนะว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยต่อการเป็นเนื้องอกบางชนิด สำหรับกรณีของคลื่นวิทยุจากแหล่งกำเนิดอื่นๆ รวมทั้งจากเสาส่งสัญญาณมือถือนั้น ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็ง

ส่วนคลื่นวิทยุจากเสาส่งสัญญาณมือถือก่อให้เกิดผลกระทบแบบสะสมต่อร่างกายหรือไม่? ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ไม่ได้ยืนยันว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุในชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไปมีผลกระทบแบบสะสมต่อร่างกาย

จากวงเสวนา “ความรู้เกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาสัญญาณและโทรศัพท์มือถือมีผลต่อสุขภาพหรือไม่” ที่เพิ่งจัดไปเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และความปลอดภัยของคลื่นจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือแก่ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ชี้ว่าระบบการสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์มือถือได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคดิจิทัล และยังเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

“กสทช.ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่และส่งเสริมให้มีบริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ อันจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศแล้ว ยังทำหน้าที่กำกับดูแล กำหนดค่ามาตรฐาน และตรวจวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ให้มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบสถานีฐาน

“จากการตรวจวัดค่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสถานีฐานจำนวน 40 สถานี ในพื้นที่ 5 ภูมิภาค พบว่ามีค่าต่ำกว่าขีดจำกัดตามที่มาตรฐานกำหนดไว้มาก เช่น ย่านความถี่คลื่น 900 MHz ความแรงต้องไม่เกิน 41 โวลต์/เมตร ย่านความถี่ 1800 MHz ความแรงต้องไม่เกิน 58 โวลต์/เมตร และย่านความถี่ 2100 MHz ความแรงต้องไม่เกิน 61 โวลต์/เมตร ดังนั้นการแผ่คลื่นจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือจึงปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน”

ฟังและเชื่ออย่างมีเหตุและผลรองรับ

ผศ.ดร.ชาญไชย ไทยเจียม กรรมการสมาคมวิจัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ไทย และเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บรรณาธิการหนังสือ “ความรู้เกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือจากเสาสัญญาณและโทรศัพท์มือถือมีผลต่อสุขภาพหรือไม่” อธิบายเหตุผลว่า

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

“รู้สึกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ ตามข่าววิทยุและทีวี ก็เห็นว่ามีบางประเด็นที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ แล้วก็เป็นกระแสสังคมแบบพาๆ กันไป อย่างเช่น ประโยคหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ ‘ความถี่ของโทรศัพท์มือถือเป็นความถี่เดียวกับตู้อบไมโครเวฟ หมูยังสุกเลย แล้วคนจะไม่สุกเหรอ’ แล้วก็ลือกันไปต่างๆ นานา ผมว่าถ้าปล่อยไปเลยตามเลย เราในฐานะสมาคมที่ทำเกี่ยวกับเรื่ององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ไม่ออกมาชี้หรือบอกกับคนในสังคมเลย สังคมก็น่าจะเดินไปข้างหน้ายาก เพราะว่า กสทช.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงออกมาพูดและชี้แจง แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ไม่เชื่อ ก็คิดว่าประเทศเรานี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะหน่วยงานโดยตรงออกมาชี้แจง ประชาชนไม่เชื่อ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร?”

แม้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือจะเป็นคลื่นเดียวกับตู้ไมโครเวฟ ผศ.ดร.ชาญไชย ชี้ว่าไม่ได้มีอันตรายเท่ากับตู้ไมโครเวฟ เนื่องจากย่านความถี่ไม่ได้มีความถี่สูงมากพอที่จะทำลายดีเอ็นเอมนุษย์ ซึ่งจะเปลี่ยนโครงสร้างดีเอ็นเอมนุษย์ทำให้กลายพันธุ์หรือทำให้เกิดเนื้องอกเป็นมะเร็ง

“ในทางวิทยาศาสตร์ต้องใช้คำว่า เป็นไปไม่ได้”

ในทางทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่ 2 ประเภท คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากลุ่มชนิดไม่ก่อไอออน (Non-ionizing radiation) ไม่ก่อให้อะตอมมีการแตกตัวเป็นไอออน ซึ่งย่านความถี่ใช้งานของโทรศัพท์มือถือและความถี่คลื่นวิทยุกระจายเสียง สัญญาณไว-ไฟเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายจัดให้อยู่ในกลุ่มประเภทนี้ ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่มีผลกระทบในเชิงความร้อนเท่านั้น การติดตั้งและการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นชนิดไม่ก่อไอออนที่มีกำลังใช้งานต่ำ

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

“ความถี่ของโทรศัพท์มือถือไม่ถึงขั้นเป็นไอออไนซ์ แต่กำลังส่งที่แรงจนกระทั่งทำให้เกิดความร้อน และความร้อนนี่เองที่ทำให้อาหารสุก เพราะฉะนั้นถ้าประชาชนจะกลัวก็ต้องมาดูเรื่องกำลังส่ง โดยเฉพาะปัญหาของสถานีฐานกำลังส่ง หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือที่ถือก็จะทำให้เกิดความร้อนจนกระทั่งหมูสุกจริงไหม? โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น เนื่องจากตัวเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นเครื่องมือที่ถูกตรวจสอบมาตรฐานมาแล้วจากต่างประเทศ แล้วมีองค์กรที่จะมากำกับดูแลว่าให้อยู่ในกำลังส่งที่ปลอดภัย ไม่ใช่จะส่งเท่าไหร่ก็ได้ และเป็นข้อมูลเชิงเทคนิคว่าทุกสถานีฐาน ในฐานะผู้ประกอบการต้องส่งกำลังต่ำที่สุดเพื่อประหยัดไฟฟ้าที่เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท แล้วมาออกแบบการแมตชิ่งหรือระบบวิศวกรรมสายอากาศเพื่อให้การกระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกไปครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่ต้องการ ไม่ต้องการส่งกำลังเยอะๆ เพราะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายหรือเปลืองเงินโดยใช่เหตุ แต่ต้องส่งกำลังให้น้อยที่สุดและยังอยู่ในระบบที่เสถียร แล้ววางระยะให้เหมาะสม”

 ผศ.ดร.ชาญไชย ย้ำว่า จากการอ่านบทความมากกว่า 260 เปเปอร์ ซึ่งเป็นบทความจากต่างประเทศทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น ทำกันมา 2 ปีเต็ม การใช้โทรศัพท์มือถือและการอยู่ใกล้กับสถานีฐานกำลังส่งสัญญาณ ทุกคนอาจจะวิตกกังวลได้ ไม่มีปัญหาตรงนั้น แต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกจนไม่มีพื้นฐานของวิทยาศาสตร์หรือเหตุและผลมารองรับ

 “วิตกได้แต่อย่าตื่นตระหนก หากคำแนะนำที่จะมีวิธีป้องกันตัวเอง ทำความเข้าใจและอยู่กับการใช้โทรศัพท์มือถือยังไงจึงจะปลอดภัยและมีความสุข ยกตัวอย่างเรื่องสถานีฐานส่งคลื่นสัญญาณที่คนในพื้นที่กังวลนักกังวลหนา คนไม่เข้าใจกัน ถ้าผมกลัว...ผมกลัวโทรศัพท์ที่เราถือมากกว่า เพราะบริเวณใดที่อับสัญญาณหรือสัญญาณมือถืออ่อน โทรศัพท์มือถือจะถูกส่งด้วยกำลังสูงสุดตลอดเวลา แบตเตอรี่จะหมดเร็ว และทำให้เกิดความร้อนที่ข้างหูมากเป็นกรณีพิเศษ ต้องอยู่ในระยะที่เหมาะสมของสถานีฐาน ตัวสัญญาณโทรศัพท์มือถือจะมีขีดสัญญาณของความแรง ต้องดูว่ามีความแรงของสัญญาณพอสมควร ไม่ใช่ไปโทรในที่อับสัญญาณหรือไม่จำเป็นก็อย่าใช้ เพราะถ้าใช้ซึ่งโทรศัพท์จะแนบกับหูผู้ใช้ ซึ่งต้องให้ความรู้ว่าขณะที่ไม่ใช้โทรศัพท์แต่ถ้ายังอยู่กับตัว โทรศัพท์ก็จะเชื่อมต่อกับสถานีฐานตลอดเวลา ถ้ากลัวก็เสี่ยงตลอดเวลา มีวิธีเดียวคือต้องปิดโทรศัพท์ไม่ต้องใช้”

ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้สมาร์ทโฟนแบบรู้เท่าทัน

 

ข้อแนะนำการใช้สมาร์ทโฟนให้ปลอดภัย

งานวิจัยของคนไทยที่ชื่อ “การจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเพื่อวิเคราะห์ค่าอัตราการดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการถ่ายเทความร้อนในศีรษะมนุษย์ขณะใช้โทรศัพท์มือถือ” ที่ ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2554 ดร.ธีรพจน์ เวศพันธุ์ และกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี คือ วัจน์กร คุณอมรเลิศ, จันทกานต์ นูรักษา และอภิชาติ  แซ่ซือ จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ในการจำลองการกระจายตัวของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณสมอง เพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่สถานการณ์แตกต่างกัน ระยะเวลาที่ต่างกัน ที่ความถี่ต่างๆ จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีและเป็นที่ยอมรับทั้งในเวทีวิจัยทั้งระดับนานาชาติและระดับชาติ ได้มีข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือดังนี้

1.หลีกเลี่ยงการใช้งานโดยไม่จำเป็น หากต้องใช้ก็ใช้ให้น้อยที่สุด

2.หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ในที่แคบ เช่น ในรถยนต์ เนื่องจากคลื่นจะมีการสะท้อนเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้งานได้เป็นปริมาณมากขึ้น

3.เวลานอนพยายามอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว

4.หากต้องพกพาโทรศัพท์มือถือ พยายามหาซองใส่หรือใส่ในกระเป๋าเพื่อลดการแพร่ของคลื่นสู่ร่างกาย

5.พยายามใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Small talk, Bluetooth หรือ Hand Free อย่าพยายามพูดโทรศัพท์โดยยกมาแนบกับหูโดยตรง