posttoday

โตมร ศุขปรีชา กับเรื่องเล่าของคนที่ลุกขึ้นมาวิ่ง

08 พฤษภาคม 2559

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนของ หนุ่ม-โตมร ศุขปรีชา นักเขียน นักแปล และบรรณาธิการ มาแต่ไหนแต่ไร

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนของ หนุ่ม-โตมร ศุขปรีชา นักเขียน นักแปล และบรรณาธิการ มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้มาอ่านหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของเขา Run Me To The Moon ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แซลมอน ผมถึงกับตั้งคำถามว่า อะไรดลใจให้เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ ด้วยกลวิธีการเขียนแบบนี้ (แบบเรื่องเล่า เคล้าความฮา โดยมีตัวละครเอกของเรื่อง คือตัวเขาเอง)

บ่ายวันพุธ ที่อากาศข้างนอกบ้านร้อนระอุที่สุดวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาในร้านกาแฟระดับโลก ณ สาขาหนึ่งในประเทศไทย เขาดื่มกาแฟร้อน ผมดื่มชาเขียวเย็น เขารูปร่างดีขึ้น ผมรูปร่างแย่ลง เขาค้นพบวิธีการเรียนรู้ร่างกายของเขาด้วยตัวเขาเอง ผมกลับกำลังเดินถอยห่างจากร่างกายตัวเองอย่างน่าเศร้าใจ

“ก่อนที่จะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ผมเขียนเรื่องราวของตัวเองเกี่ยวกับการวิ่งลงในเว็บไซต์มินิมอล ซึ่งที่เอาตัวเองเป็นตัวละครเอก ก็เพราะช่วงเวลานั้น ตัวเองกำลังอินอยู่กับเรื่องนี้ เรากำลังใช้ชีวิตอยู่กับมัน ในส่วนของภาษาการเขียน ก็เขียนแบบเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน จริงๆ แล้วผมเขียนแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ทำนิตยสาร เพราะผมรับผิดชอบคอลัมน์ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถใช้นามปากกาที่แตกต่างกันไปได้ คนเลยไม่รู้ว่าโตมรเขียนอะไรแบบนี้ได้ เพราะไม่รู้”

หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ว่าด้วยวิธีการ สร้างแรงบันดาลใจ หรือจะเอนเอียงไปทางปรัชญา เช่น หนังสือของ ฮารูกิ มูราคามิ (What I Talk About When I Talk About Running) ในฐานะคนอ่าน เราอาจเคยผ่านหูผ่านตามาแล้วบ้าง เมื่อต้องมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ใครหลายคนคงตั้งคำถามว่า เนื้อหาจะว่าด้วยเรื่องราวซ้ำๆ เดิมๆ แบบที่เคยผ่านหูผ่านตามาหรือเปล่า โตมรเผยว่า นี่คือหนังสืออ่านเล่นที่นอกจากคนอ่านจะได้อ่านเรื่องเล่า ยังจะได้อ่านเรื่องราวของการวิ่งอิงวิทยาศาสตร์ ระหว่างมนุษย์กับการพุ่งทะยานไปข้างหน้า

“เราใช้ร่างกายวิ่ง ผมจึงสอดแทรกข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการเรียนรู้ร่างกายของเรา พลังและศักยภาพของร่างกายของเรา เพื่อให้เราได้เรียนรู้ศักยภาพของตัวเราเอง เช่น เวลาที่เราวิ่ง เราใช้แรงพลังจากส่วนไหน? ทำไมมนุษย์ถึงได้วิวัฒนาการมาเป็นสองขา และสามารถวิ่งได้? ฯลฯ”

เมื่อหนังสือเล่มนี้คือเรื่องเล่า โตมรก็ได้เล่าตั้งแต่เรื่องราวชีวิตของเขาวัยเด็ก ที่เป็นเด็กอ้วนไม่กล้าถอดเสื้อ ไม่ชอบวิชาพละ มาจนเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวใหญ่ ที่ได้มีโอกาสมาลองวิ่ง จนเข้าแข่งขันได้ถึง 21 กิโลเมตร “หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเล่าที่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เล่าไปด้วย สะท้อนให้เราได้เห็นถึงหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปด้วย ทำให้เราได้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต ความอยากรู้เรื่องใหม่ๆ รวมทั้งได้เห็นถึงความโชคดีที่ได้พบเจอผู้คน รวมทั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาวิ่ง (รวมทั้งเพื่อนบางคนที่แอบหยามเราแบบทีเล่นทีจริงอยู่ในที)”

แน่นอนว่า หนังสือเล่มนี้ได้บอกเล่าถึงผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการวิ่ง นั่นคือน้ำหนักลด ร่างกายแข็งแรงขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีไอเดียใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าง่าย หรือขี้เกียจทำงานอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งอยากออกไปวิ่งมากขึ้น “สิ่งสำคัญของการวิ่งคือระยะสะสม เราอาจไม่ได้วิ่งทุกวัน แต่ควรวิ่งอย่างสม่ำเสมอ 5 กิโลฯ บ้าง 10 กิโลฯ บ้าง ก็สะสมกันไป เมื่อเราลงแข่งไปด้วย เราก็จะวิ่งได้ดีขึ้น”

นอกจากนี้ โตมรยังเผยว่า หากใครอกหักผิดหวัง แนะนำให้ออกมาวิ่ง “การวิ่งทำให้ร่างกายของเราได้รับบาดเจ็บในบางส่วนของร่างกาย ซึ่งมันจะพอดีกับความเจ็บในหัวใจของเรา แล้วเหงื่อที่ไหลออกมา มันคือการร้องไห้ของร่างกายของเรา ซึ่งช่วยบำบัดได้ดี รวมทั้งมีสารต่างๆ นานา ที่หลั่งออกมา ทำให้เราได้ระบายความเศร้าเสียใจออกไป แล้วได้ความสุขกลับคืนมา ซึ่งกลับคืนมามากกว่าคนที่มีความสุข ไม่ทุกข์ใจ แล้วออกไปวิ่งเสียด้วยซ้ำ”

หากใครกำลังมองหาหนังสือดีๆ ที่อ่านเล่นได้ รวมทั้งได้สาระดีๆ ตามไปด้วย อย่ารอช้าครับ หนังสือเล่มนี้คือคำตอบ!

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2