ความรัก (ยัง) เอาชนะทุกสิ่ง

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร

ผมไม่รู้ว่าคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Huntsman: Winter’s War พรานป่าและราชินีน้ำแข็ง แล้วจะรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับผม เมื่อได้ดูแล้ว ผมค้นพบว่ามันไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่จะพาเราไปพบกับเรื่องราวที่ภาพยนตร์ภาคแรก Snow White and the Huntsman (ปี 2012) เคยเกริ่นเอาไว้แล้ว ซึ่งอ้างถึงอดีตคนรักของอีริค (คริส เฮมส์เวิร์ธ) และการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของเธอ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมได้ค้นพบว่า ต่อให้เราจะเจ็บปวดจากความรักมาสักกี่หน ใครจะทำร้ายหัวใจเรามามากมายอย่างไร จนทำให้เรามองความรักไปในแง่ร้าย ความรักก็ยังเอาชนะทุกสิ่ง (รวมทั้งความไม่รัก ความโกรธ และความเกลียดชังด้วย)

แน่นอนว่า สิ่งที่เราจะได้พบเห็นจากในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากความอลังการของฉาก และเสื้อผ้าหน้าผม เราจะได้พบเจอความสามารถทางการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 4 คน ที่การแสดงของพวกเขาได้นำพาเราให้เดินทางจนไปถึงจุดที่เราสามารถมีความรู้สึกดีๆ ต่อความรักได้แบบชนิดที่เรียกว่า ไม่คิดอยากมองความรักไปในแง่ร้ายอีกต่อไปแล้ว

 ว่ากันว่า ชาร์ลิซ เธอรอน แสดงในบทราชินีราเวนนา ผู้แช่แข็งหัวใจของน้องสาวแสนดีของเธอ เฟรยา (เอมิลี บลันท์) ให้ไร้ความรัก (จากเหตุการณ์หนึ่งที่ช็อกความรู้สึก) จนเฟรยาต้องปลดปล่อยพลังเยือกแข็งที่เธอไม่รู้มาก่อนว่ามันมีอยู่ในตัวเธอออกมา อีกทั้งเฟรยาได้ถอยไปตั้งหลักยังอาณาจักรที่ห่างไกลทางทิศเหนือ เธอได้รวบรวมกองทัพนายพรานเพื่อให้เป็นผู้คุ้มครองเธอ โดยมีกฎข้อเดียวเท่านั้นคือ “ห้ามไม่ให้คนของเธอรักกัน”

ขึ้นชื่อว่าคนสองคนรักกัน ต่อให้มีข้อห้ามอย่างไร คนสองคนก็ต้องรักกัน ดั่งเช่นความรักของอีริค ซึ่งเป็นนายพรานผู้เก่งกาจที่สุดของเฟรยา กับเพื่อนนักรบของเขา ซารา (เจสสิกา แชสเทน) หญิงสาวเพียงคนเดียวที่กุมหัวใจของเขาเอาไว้ได้ และความรักของคนคู่นี้ก็สามารถพิสูจน์ธีมของเรื่องที่ว่า ความรักเอาชนะทุกสิ่งได้ในท้ายที่สุด

เซดริค นิโคลัส-โทรยัน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้บอกเล่าไว้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการกอบกู้โลก แต่เป็นภาพยนตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความรัก “ผมสามารถเอาสัตว์ประหลาดและช็อตเจ๋งๆ สารพัดอย่างเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้ว หากผมไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครบนหน้าจอ และอารมณ์ของสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ผมก็จะไม่มีอะไรให้ยึดเกาะครับ”

ความรักจึงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เกาะกุมการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี และมันก็เป็นภาพยนตร์ที่ละเมียดละไมในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างทรงพลัง ซึ่งหากใครกำลังมองความรักไปในแง่ร้าย จนไม่เหลือแม้ความเชื่อและความศรัทธาในความรักอีกต่อไปแล้ว โปรดเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้เถิดครับ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เราได้มองเห็นพลังงานด้านบวกของความรักได้อย่างจริงที่สุด

และมันอาจเป็นภาพยนตร์ที่ชุบชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ เป็นชีวิตที่มองโลกอย่างสดใส และไม่มองความรักไปในแง่ร้าย จนทำให้ไม่อยากเหยียบยืนอยู่บนโลกใบนี้