posttoday

เมื่อลูกเริ่มดี 'แตก'

12 เมษายน 2559

โดย...ดร.ต้อง เดอะ ฟิลเตอร์ ภาพ เอพี

โดย...ดร.ต้อง เดอะ ฟิลเตอร์ ภาพ เอพี

พ่อแม่หลายท่านชอบเข้ามาบ่นกับผมในคลาส โดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น (สิบกว่าขวบขึ้นไป) จากเด็กน่ารัก เชื่อฟังพ่อแม่ อยู่ดีๆ เริ่มมีอากัปกิริยาแปลกๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น เริ่มขึ้นเสียง หรือเถียงข้างๆ คูๆ ท้าทายอำนาจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยสิ่งที่สอน รวมถึงเริ่มมองว่าพ่อแม่ไม่รู้เรื่องพอ (ควรเงียบฟังลูกบ้าง) และที่หนักที่สุด คือ ลูกเริ่มมีความลับ และเริ่มปิดตัวอยู่ในห้อง ทำอะไรก็ไม่รู้ให้พ่อแม่สงสัยและกังวลหนักกว่าเก่า รวมไปถึงการคบเพื่อนต่างเพศ ที่พ่อแม่ไม่ค่อยเห็นด้วย และพฤติกรรมแผลงๆ ในโรงเรียนที่ทำให้รู้สึกว่า ลูกกำลัง “แสบ” และดีแตก

วันนั้น คือ วันวัดใจว่า พ่อแม่จะปรับตัวกับลูกได้หรือไม่? เพราะถ้าปรับตัวไม่ได้ ก็จะเริ่มมีผลกระทบให้บ้านแตกทันที เพราะต่างฝ่ายต่างรับมือไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง ลูกเองก็กบฏเพราะอึดอัด แต่ไม่เข้าใจความอึดอัดในใจตัวเอง จนกลายเป็นตัวปัญหา จริงๆ อาจแค่อยากได้อิสระ แต่กลับต่อรองไม่เป็น ส่วนพ่อแม่ก็เข้มกว่าเดิม​เพราะกลัวลูกใจแตกหนักกว่าเก่า

ในความเป็นจริง เมื่อพ่อแม่เริ่มต้องรับมือกับลูกที่กบฏขึ้น เพราะลูกคิดว่าตัวเองโตพอที่จะได้อิสระในการคิด ตัดสินใจ วันนั้น สิ่งที่มักเกิดตามมาอย่างช่วยไม่ได้ คือ พ่อแม่ย้ำเตือนสิ่งที่ตัวเองคาดหวังกับลูก ประโยคยอดฮิต ที่พ่อแม่มักใช้ เมื่อต้องบ่นกับพฤติกรรมแสบๆ ของลูก มีดังต่อไปนี้ “ลูกคนอื่นเขาไม่ทำอย่างนี้กับพ่อแม่นะ ไม่อายบ้างหรือ?” “รู้ไหมว่า พ่อแม่เหนื่อยเพื่อเรามา
แค่ไหน? สอนอะไรไป จำได้บ้างหรือเปล่า?” ไปจนถึงประโยคจัดหนักประมาณว่า ตัวเองมีกรรม หรือไม่ก็พูดทำนองว่า  “เกิดมาแล้วเป็นอย่างนี้ ก็อย่าเกิดมาเลย” เป็นต้น

ส่วนลูกเองก็ดราม่ากว่าเก่า โดยการมองว่า โลกพัง พ่อแม่ไม่รัก ไม่เข้าใจ แล้วก็เริ่มสงสัยว่า “หรือเราไม่ควรเกิดมาจริงๆ” ในเมื่อสร้างกรรมและ (วีร) กรรมให้พ่อแม่ปวดใจแบบนี้ จนยิ่งห่าง ยิ่งไม่คุย ไม่ปรึกษา กลายเป็นพ่อแม่ลูก อยู่กันคนละมุม

สมการนี้จะยิ่งไปกันใหญ่ หากคุณปู่ ย่า ตา หรือยาย เข้าข้างหลาน เพราะอยากให้หลานรัก บ้านยิ่งตึงกว่าเดิม ปัญหาส่วนตัวกลายเป็นปัญหาส่วนรวม ที่ทุกคนต่างมีธงต่างกัน...ต่างกันจนวุ่นวาย ไม่สามารถแก้ปัญหาไปในทางเดียวกันได้ จนบางทีผู้ใหญ่ก็ทะเลาะกันเอง

จากที่เห็น พอปัญหาบานปลาย จนเริ่มคิดว่าคุมลูกไม่อยู่ พ่อแม่เองก็มักเริ่มหาพวก  หรือไม่ก็โทษกันเอง จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะไหนจะต้องทำมาหากินมาเลี้ยงลูก (ที่ไม่น่ารักแล้ว) แล้วยังต้องมาปวดหัวกับการพยายามจะตกลงกันว่า เราจะทำอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงของลูกดี

จริงๆ ก็ไม่ถึงกับพ่อแม่รังแกฉัน แต่ครอบครัวรังแกกัน อาจจะตรงกว่า

ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับหลายบ้านที่มีลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่น คือ การสื่อสารกันในบ้าน และสิ่งที่เราต้องระวังอย่างหนึ่ง คือ ไม่ให้การสื่อสารความคาดหวังของเรา นำไปสู่การใช้ภาษาแนว บ่น ขู่ ทำให้อับอาย เพราะเป็นการสื่อสารที่นำมาสู่การตั้งกำแพงใส่กัน

เราต่างรู้ดีว่าไม่มีใครชอบภาษาแบบนี้ เมื่อพ่อแม่เองยังไม่ชอบ ลูกก็ต้องไม่ชอบเช่นกัน

สิ่งที่เหมาะกว่า คือ การฟังความรู้สึกลูก ฟังเพื่อพยายามทำความเข้าใจก่อนว่า เขาเครียด ห่วง กังวลหรือสับสนเรื่องอะไร? ฟังแล้วลองมองย้อนกลับไปตอนเราอายุเท่าเขา เราจะเห็นว่าตัวเองก็ต้องการสิ่งนี้เช่นกัน เพราะตอนเราเด็ก เราก็อยากให้พ่อแม่ฟังเรา ไม่ต่างจากเขาวันนี้

การฟังความรู้สึกลูกให้เป็น ก่อนรีบบ่น จัดการลูกขั้นเด็ดขาดเพราะอดกลัวลูกดีแตกจนทนไม่ได้ อาจมีรูปประโยคประมาณนี้ “วันนั้นที่ตะโกนใส่พ่อ เพราะไม่ยอมให้ไปค้างบ้านเพื่อน แล้วโกรธจนปิดประตูเสียงดัง พ่อเสียใจนะ แต่อยากเข้าใจว่าเครียดเรื่องอะไร? บอกพ่อหน่อย พ่อจะพยายามเข้าใจ แต่ยังไงก็ต้องขอโทษพ่อนะ เพราะมันไม่ถูก” “ตอนนั้นที่เดินหนีแม่ แม่ยังพูดค้างอยู่เลย ถ้าบ่นเกินแม่ขอโทษนะ แต่อยากรู้ว่า เรากดดันเรื่องอะไร? แม่อยากเข้าใจ” “ที่บอกแม่ว่า แม่ไม่เคยฟัง แม่อยากเข้าใจว่า แม่ไม่ฟังเรื่องอะไร? จะได้เข้าใจหนู”

การสนใจฟังลูกก่อน เป็นสิ่งที่ยาก เพราะเวลาลูกเปลี่ยนไปมากจนเริ่มเถียง หรือหนีหน้าเรา เราจะกลัวเสียหน้า เสียอิทธิพลในการปกครองลูกเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งต้องฟังลูก เราก็ยิ่งกลัวลูกจะไม่เคารพ ไม่เกรงใจเราหนักกว่าเก่า พ่อแม่หลายคนไม่ค่อยอยากฟังความรู้สึกในใจลูก เพราะมันเหมือนเรายอมลูก ทำให้เราไม่สามารถปกครองเขาได้อีกต่อไป ยิ่งเราเคยเห็นพ่อแม่เราเองดุเรา เราก็จำว่า คงต้องทำแบบเดียวกัน

แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมาก การบ่นให้จำ เอาญาติมารุมสอน หรือพยายามแอบตรวจสอบพฤติกรรมลูก โดยไม่คิดว่า การฟังลูกจำเป็น ส่วนใหญ่ มักจะทำให้เราเสียลูก และหมดอิทธิพลกับเขามากกว่าเดิม เพราะยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ในเวลาที่ลูกต้องการพวก ต้องการเพื่อนที่เข้าใจความรู้สึกยากๆ ที่ตัวเองยังสับสนอยู่ สับสนจนดี “แตก”

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พ่อแม่ที่รับมือไม่ทัน มักเริ่มสติแตกเพราะลูกดีแตก แต่หากเราดึงสติกลับมาแล้วดูประเด็นเล็กๆ ของลูก ที่เราอาจมองว่า เล็กเกินคุย เช่น ลูกโดนล้อ แฟนขอเลิก กลุ่มเพื่อนสนิทรุมแอนตี้ มีสิวหัวช้างจนเพื่อนเอาไปประจานให้อับอาย หรือปัญหาในทำนองที่กวนใจเรา อย่าเพิ่งคิดเข้าข้างตัวเองว่า เราเหนื่อยหนักกว่าเขา และไม่อยากให้เขารบกวนเราด้วยปัญหาเล็กๆ แบบนี้ จริงๆ ปัญหาแบบนี้แหละที่เขาอยากคุย อยากรู้ว่าเรายังเข้าใจเขาหรือไม่?

วัยหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ เป็นวัยที่พ่อแม่เองต้องปรับบทบาทให้เป็นโค้ช และเป็นเพื่อนลูกมากขึ้น ไม่ใช่เน้นการเป็นพ่อแม่ ปกครองลูก แนวจัดหนัก ไม่เน้นฟังปัญหา แบบแต่ก่อน เพราะอย่างไรเราก็ต้องฝึกเขาตัดสินใจ ฝึกเขาต่อรองกับสังคม ทำไมไม่เริ่มกันเองในบ้านก่อน ฝึกให้ลูกต่อรองกับเรา ฝึกฟังเหตุผลกันและกัน จนลูกเห็นว่า พ่อแม่ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ปกครอง แต่เป็นเพื่อนเขาได้ด้วย

จริงๆ ผมประทับใจละครเรื่องหนึ่งที่กำลังออนแอร์อยู่ขณะนี้ เป็นละครเชิงจิตวิทยา ชื่อ “วัยแสบสาแหรกขาด” ของคุณเอิน-ณิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล ผู้จัดรุ่นใหม่แห่งค่ายมาสเตอร์ วัน ผมประทับใจผู้จัดละครเรื่องนี้ เพราะคิดว่า มันถึงเวลาที่สังคมไทยจะมีละครที่ช่วยพ่อแม่ลูกให้คุยกันในบ้าน ให้ลองคิดมุมกลับ ลองปรับมุมมองลูก เพื่อช่วยกันข้ามพ้นวัยอันตรายที่สุด คือวัยรุ่น ที่เด็กพร้อมไปทางดีหรือทางร้ายก็ได้

สำคัญคือ พ่อแม่ยังพยายามทำความเข้าใจปัญหาจากมุมเขา และไม่ถอดใจเสียก่อน สำคัญที่ตรงนี้จริงๆ เพราะมันคือวันที่กำหนดทางเดินข้างหน้าของลูกเรา ว่าจะใจแตก หรือกลับใจมาร่วมมือกับเราอีกครั้งหนึ่ง

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก