มรสุมชีวิตที่สาหัส ถาโถมจนแทบรับไม่ทัน
สาวสวยหน้าคม ส้ม-ชนากานต์ ชัยศรี อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 1990 หลังจากได้ตำแหน่งเธอก็ไม่ค่อย
โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์
สาวสวยหน้าคม ส้ม-ชนากานต์ ชัยศรี อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 1990 หลังจากได้ตำแหน่งเธอก็ไม่ค่อยได้ทำงานในวงการสักเท่าไหร่ ต่อจากนั้นไม่นานเธอก็แต่งงานมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ทำหน้าที่เป็นคุณแม่ของลูกๆ วัยน่ารักถึง 3 คน เส้นทางชีวิตของเธอก็ดูราบรื่นมีความสุขกับสามีนักธุรกิจที่ดูใจดีอบอุ่น เรื่องราวก็น่าจะไหลลื่นไปด้วยดีโดยไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ เป็นเส้นทางชีวิตของสาวๆ หลายคนที่ได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ ที่รักเธอ มีลูกเล็กๆ ที่น่ารักสมวัย
แต่ฟ้าเบื้องบนก็ให้บททดสอบที่ยากๆ แก่เธอเป็นระยะอย่างไม่บันยะบันยัง ส่งมรสุมชีวิตลูกแล้วลูกเล่ามาทดสอบความอดทนของเธออย่างไม่ขาดระยะเพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
มรสุมลูกแรก ก.ค. 2555
สามีของเธอนั้นเป็นชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอเพียงปีเดียว เป็นคนสุภาพใจดี รักภรรยา รักลูก ไม่เจ้าชู้ เธอเล่าว่า แต่งงานกันมานี่ไม่เคยมีอะไรทะเลาะกันรุนแรงเลย เขาจะตามใจลูกเมีย เป็นคนง่ายๆ สบายๆ อะไรก็ได้ที่ทำให้ครอบครัวมีความสุข แม้เขาจะเป็นผู้ชายเจ้าเนื้อไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาสุขภาพใดๆ แต่งงานกันมาเกือบ 20 ปี ก็ไม่เคยเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลอะไรจนกระทั่งเมื่ออายุเข้าเลขสี่ เขาเริ่มมีปัญหาเรื่องความดัน หัวใจอะไรบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก ก็กินยาควบคุมอาการ พบแพทย์เป็นระยะๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
“เขามีปัญหาเรื่องนอนกรนมากขึ้น หมอก็ให้ยามากิน แต่เขาจะเป็นคนขี้ลืม กินบ้างไม่กินบ้าง แล้วก็ไม่ชอบออกกำลังกาย แต่มีความสุขกับการกินมาก ซึ่งส้มเองก็ไม่ได้ไปกดดันว่าให้เขาพยายามลดน้ำหนักหรืออะไร จนกระทั่งเขาไอหนักขึ้นมากจนนอนไม่หลับ เขาต้องนั่งหลับ ช่วงก่อนที่เขาจะไม่สบาย เขามีปัญหาเกี่ยวกับปอดทั้งที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ สุดท้ายก็ขอให้เขาไปหาหมอเถอะ วันที่เขาต้องไปหาหมอ ส้มมีอัดรายการทั้งวันก็เลยบอกให้เขาไปนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ตรวจอย่างละเอียด เดี๋ยวอัดรายการเสร็จบ่ายๆ ส้มจะไปรับเขากลับบ้าน ก็ดูปกติไม่มีอะไรน่ากังวลเลย สายๆ หลานเขาไปเยี่ยม เขาก็ยั่งนั่งเล่นเกมคุยโทรศัพท์กัน” เธอทบทวนความหลังให้ฟังด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
พอสักเที่ยงๆ หลานชายเขาโทรมาบอกว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ส้มงงช็อกทำอะไรไม่ถูก ส้มทิ้งรายการเพื่อไปดูเขา ไปถึงหมอกำลังปั๊มหัวใจ ปั๊มเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้นขึ้นมา เขาสิ้นใจแบบปุ๊บปั๊บมาก เขาเสียด้วยโรคปอดติดเชื้อ ซึ่งไปเอกซเรย์แทบจะไม่มีปอดเหลือเลย พอไปเห็นเขา เธอบอกว่าทำอะไรไม่ถูก ช็อกไปเลย คือนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่ร้องไห้ฟูมฟายใดๆ นั่งเหม่อลอยแบบงงเหมือนว่านี่คือความฝันไม่ใช่ความจริง ทำอะไรไม่ถูก ไม่พูดไม่ฟังอะไรใครทั้งนั้น น้องสาวและพ่อแม่ของเธอต้องช่วยจัดการให้หมด จนกระทั่งสวดไป 3 วันแล้วถึงเริ่มมีสติเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง มีพิธีสวดแค่ 3 วันแล้วเผา เนื่องจากพ่อสามีป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่บอกให้พ่อเขารู้ กลัวพ่อเขาจะรับไม่ไหว แม่สามีต้องบอกว่าไปธุระแล้วเอาชุดดำมาเปลี่ยนที่วัด เพราะเขาเป็นลูกชายคนเล็กที่สนิทกับพ่อเขามาก ซึ่งปิดไว้ได้ 3 เดือน คุณพ่อเขาก็ทรุดหนักแล้วถามแต่ว่าทำไมลูกชายคนเล็กไม่มาหา ในที่สุดต้องบอกพ่อ บอกได้ไม่กี่วัน พ่อสามีก็เสียตามไปติดๆ
เธอเล่าว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครในครอบครัวตายจากไป สามีนี่คือคนแรกที่ตายไปจากชีวิตเธอ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ เธอพยายามเข้มแข็งไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น แต่ในใจนั้นปวดร้าวมาก ลูกก็ยังเล็ก 7-8 ขวบเท่านั้น กำลังกินกำลังใช้ ปกติเธออยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวๆ พอสามีเสียก็ยุ่งเรื่องรับส่งเรื่องดูแลลูก วิ่งวุ่นไปหมด
โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจทิ้งบ้านต่างจังหวัดย้ายมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ เพื่อช่วยดูแลหลานๆ ช่วยรับส่งหลานๆ แทนสามี ก็ช่วยแบ่งเบาเธอไปได้เยอะมาก คุณพ่อเปรียบเสมือนแม่บ้านดูแลเรื่องอาหารการกิน ความเรียบร้อยในบ้าน ดูแลลูกๆ แทนเธอ ถ้าไม่มีคุณพ่อนี่ชีวิตจะลำบากมากเลย ท่านทำให้ทุกอย่าง ชงกาแฟ เตรียมรถ ก่อนเธอจะออกจากบ้าน จะเอาอะไรบอกคุณพ่อของเธอจัดการให้หมด เธอก็พยายามเข้มแข็งให้มากที่สุด เป็นหลักให้ลูก แต่ก็ยังนึกถึงเขาอยู่เสมอแม้กระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กตอนที่พ่อเขาเสียอายุแค่ 6 ขวบ เขาก็จะถามถึงพ่อเขาบ่อยๆ ได้ยินลูกถามเธอก็น้ำตาจะไหลทุกครั้ง
มรสุมลูกที่สอง ก.ย. 2556
ผ่านไปไม่ถึงปีหลังจากสามีเสียชีวิต เธอก็เกือบจะเข้าที่เข้าทางแล้ว พอทำใจให้หายเศร้าได้บ้าง พยายามดำเนินชีวิตต่อไป แต่เธอก็กลับได้บททดสอบความเข้มแข็งของจิตใจอีกครั้ง คราวนี้เป็นน้องชายคนเล็กและเป็นน้องชายคนเดียวของเธอซึ่งเป็นนักแข่งรถ อายุแค่ 34 ปี รูปร่างสูงใหญ่ถึง 190 ซม. ยังไม่ได้แต่งงาน แข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหนักๆ เลย แล้วเขาไม่ได้กินเหล้า แต่สูบบุหรี่บ้าง เขาแยกไปอยู่อีกบ้านหนึ่งกับเพื่อนๆ เขา ก็จะคุยโทรศัพท์กันบ่อย โดยเฉพาะกับน้องสาวคนกลางเขาสนิทกันมาก เขาโทรคุยกันทุกวัน เจอกันก็ยังดีๆ ไม่มีวี่แววจะเจ็บป่วยอะไร ไม่มีโรคเรื้อรังใดๆ
ตอนเช้ามืดเพื่อนเขาโทรศัพท์มาบอกว่าน้องชายเสีย น้องสาวเป็นคนรับสายเขาสนิทกันมาก น้องสาวก็ทรุดลงไปนั่งกำโทรศัพท์อยู่ในมือเขาพูดอะไรไม่ออก “ส้มต้องไปรับสายพูดต่อแล้วรีบขับรถไปบ้านน้องชาย ยังไม่บอกพ่อกับแม่ ไปถึงบ้านเพื่อนเขาบอกว่าน้องชายเข้าไปนอนตามปกติตอนดึก ตอนเช้ามืดได้ยินเสียงเขาดิ้นแล้วร้องเฮือกแล้วดิ้นๆ แล้วก็นิ่งไปเลย เพื่อนพยายามเรียกก็ไม่ฟื้น จับชีพจรก็ไม่เต้นแล้ว พยายามช่วยกันปั๊มหัวใจก็ไม่เป็นผลแล้ว พอส่งไปที่นิติเวช เขาบอกว่าเส้นเลือดหัวใจโป่งพองแล้วแตกไปเลย ซึ่งน้องชายก็ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นโรคนี้ จากไปแบบเฉียบพลัน” เธอเล่าอย่างหดหู่
งานนี้น้องสาวคนรองช็อกทำใจไม่ได้ เขาสนิทกันมาก เธอจึงต้องจัดการทุกอย่างแทน ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็เสียใจมาก โดยเฉพาะคุณพ่อนั้นภายนอกดูเข้มแข็งทำใจได้ แต่ลึกๆ ในใจเขานั้นเหมือนอกกลัดหนอง คือพ่อเจ็บปวดมากแต่แสดงออกมาไม่ได้ พอสวดศพเสร็จพ่อจะไปยืนเกาะโลงน้องชายเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาออกมา เขาพยายามเก็บกดความรู้สึกเอาไว้อย่างยากเย็น งานนี้เธอจึงต้องเข้มแข็งกว่าใครๆ ในฐานะพี่สาวคนโต จัดการทุกอย่างแทน เป็นแม่งานทุกสิ่งอย่าง
หลังจากที่น้องชายเสียไปนั้น บรรยากาศในครอบครัวของเธออึมครึมซึมเศร้ามาก ทั้งพ่อและแม่นั้นท่านอมทุกข์มาก ส่วนน้องสาวก็ยังทำใจไม่ได้ซูบผอม กินไม่ได้นอนไม่หลับ เหมือนเราได้มรณานุสติว่าเกิดแก่เจ็บตายนี่มันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าจะจนจะรวย จะแก่รึหนุ่ม ก็มีสิทธิจากไปโดยไม่ทันได้ร่ำลา ไม่ได้ทันตั้งตัว ความตายมันใกล้แค่เอื้อม อย่าพลาด อย่าประมาททุก คนมีสิทธิเจอได้อย่างเท่าเทียมกัน
มรสุมลูกที่สาม ม.ค. 2557
หลังจากน้องชายเสียชีวิตไป คุณพ่อก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ หลังงานศพพ่อจะไปใส่บาตรให้น้องชายทุกเช้า กลับเข้าบ้านมาจะแอบมานั่งร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น พยายามกลบเกลื่อนว่าไม่ได้เศร้าแล้ว ทำใจได้แล้ว ซึ่งความจริงแล้วพ่อเขาตรอมใจมาก แต่เขาแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ในฐานะหัวหน้าครอบครัว คุณพ่อคงไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าแม่ ต่อหน้าลูกๆ หลานๆ ซึ่งคุณพ่อเดิมเป็นโรคเบาหวานอยู่ก็กินยาคุมไว้ตลอด พอมาช่วงหลังๆ ที่น้องชายเสียชีวิตไปนี่เหมือนพ่อหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ท่านก็เริ่มกินยาบ้างไม่กินยาบ้าง แล้วเขามีลูกชายคนเดียวคงหวังจะให้มีหลานๆ มาสืบสกุล แล้วน้องก็ยังไม่แต่งงานเลย ส่วนน้องสาวซึ่งสนิทกับน้องชายมากก็ยังทำใจไม่ได้
“ส้มต้องให้ลูกชายคนเล็กไปนอนเป็นเพื่อนน้องสาว เพราะเขาทำใจไม่ได้เลย แม้จะถึงช่วงทำบุญ 100 วันแล้ว ทั้งคุณพ่อ ทั้งคุณแม่ ทั้งน้องสาว ก็ยังอยู่ในภาวะทุกข์โศกทำใจกันไม่ได้เลย ส้มต้องเป็นหลักทำใจให้เข้มแข็ง บรรยากาศในบ้านก็ดูเหงาๆ เศร้าๆ หดหู่” เธอเล่าด้วยเสียงเศร้าๆ
พอกลางๆ เดือน ธ.ค. ก็ทำบุญ 100 วันน้องชาย คุณพ่อก็เริ่มป่วยแบบคนแก่ทั่วไป ไม่ได้ดูน่ากังวลอะไร แต่ว่าเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะอ่อนเพลีย ไม่หายสักที ลูกชายคนเล็กของเธอก็บอกว่าคุณตาไปหาหมอเถอะครับ เดี๋ยวจะไปนอนเฝ้าคุณตาเอง คุณพ่อก็ไม่ยอมไป จนเข้าวันที่ 7 คุณพ่อทำกับข้าวให้หลานๆ กินกันเสร็จตอนเย็น ก็ขอขึ้นไปงีบสักแป๊บ พอค่ำก็ลงมากินข้าวกัน คุณพ่อกินเสร็จก็ขึ้นไปนอนทันที คุณแม่ก็ยังไม่ได้เข้านอนตามไปส่งหลานๆ ที่ห้อง ดูแลหลานๆ อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย จน 3 ทุ่มกว่าส้มก็จะขึ้นไปอาบน้ำ แล้วก็นั่งคุยกับแม่ที่ห้องลูกชาย คุยกันเพลินๆ คุณแม่ก็ยังไม่กลับไปห้อง จนน้องสาวเขาจะเข้านอนเลยแวะไปดูห้องคุณพ่อ เรียกพ่อ ท่านก็เงียบไม่ตอบรับ เลยเปิดไฟก็เห็นคุณพ่อนอนหงายมือตก หน้าเขียว มือเขียวไปแล้ว เราก็รีบโทรหาหมอ เขาก็สอนให้พยายามปั๊มหัวใจ น้องสาวก็บอกฉันทำไม่ได้ร้องไห้ ส้มไปจับชีพจรพ่อก็ไม่เต้นแล้ว ซึ่งคิดว่าพ่อน่าจะสิ้นใจมา 2 ชม.กว่าแล้ว เพราะตัวเย็นแล้ว เรียกรถพยาบาลมาก็ปั๊มหัวใจไม่ขึ้น พ่อหลับไปเลย หมอบอกว่าหัวใจล้มเหลว แต่สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากการตรอมใจจากการเสียชีวิตของน้องชายด้วย
เธอเล่าว่า การจากไปของผู้ชายที่รักทั้งสามคนภายในเวลาไม่ถึง 2 ปีนั้น สร้างความเสียใจปวดร้าวให้กับเธอเป็นอย่างมาก แล้วทุกคนจากไปแบบฉับพลันไม่มีลางบอกเหตุให้ได้เตรียมตัวเตรียมใจใดๆ ไม่ได้สั่งเสีย ไม่ได้ร่ำลา เป็นบทเรียนสอนให้เราไม่ประมาทว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ชีวิตไม่ได้ยืนยาวอย่างที่คิด ความตาย ความพลัดพราก ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ชีวิตนี้สั้นนัก
ถ้าจะมองโลกในแง่ดีก็คือทั้งสามี น้องชาย คุณพ่อ จากไปแบบไม่ทรมาน ไม่ต้องเจาะคอ เจาะท้อง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ให้คนข้างหลังต้องเสียเงินเสียทองมากมาย แต่จะมองแง่ดีอย่างไรก็ยังยากที่จะทำใจ ตอนนี้เธอจึงพยายามดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายมากขึ้น เลือกกินอาหารที่ดีกับสุขภาพมากขึ้น “ตอนนี้ส้มเหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัว จะล้มไม่ได้ต้องเป็นหลักให้แม่ให้น้อง ไหนจะลูกๆ อีก 3 คน ต้องเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท รักใครก็ดูแลกันให้ดีๆ ชีวิตนี้ไม่ได้ยืนยาวอย่างที่คิด” เธอฝากข้อคิดเตือนใจทิ้งท้าย


