posttoday

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม

09 เมษายน 2559

เวลาที่ผ่านมา 100 ปีนั้นเหมาะที่จะทำให้เรามองย้อนหลัง ประเมินว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปแล้วบ้าง

โดย...กองบรรณาธิการโพสต์ทูเดย์ ภาพ... จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

“เวลาที่ผ่านมา 100 ปีนั้นเหมาะที่จะทำให้เรามองย้อนหลัง ประเมินว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปแล้วบ้าง อีกทั้งนี่จะเป็นจุดที่เราใช้มองไปข้างหน้า”

ม.ร.ว.กัลยา ติงศภัทิย์ รองอธิการบดี ปฏิบัติการแทนอธิการบดีในภาระหน้าที่ด้านวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวคิดสำคัญในการจัดงาน  “100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่งมีเป้าหมายจะจัดหลากหลายกิจกรรมตลอดปี 2559 ทั้งนี้การจัดกิจกรรมทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องจากอดีตมาบรรจบปัจจุบันและวางแผนงานไปถึงศตวรรษใหม่ในอนาคต

ประวัติแรกเริ่มก่อตั้ง

หากร่ายเรียงเรื่องราวจากอดีตสถาบันแห่งนี้ มีประวัติอันยาวนาน ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย จากจุดแรกเริ่มโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี 2442 เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการ โดยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อปี 2425

ต่อมาทั้งภาคราชการและเอกชนต้องการบุคลากรทำงานในสาขาวิชาต่างๆ กว้างขวางมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่จะ “ให้มีมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวสยาม” พอที่จะช่วยให้กิจการปกครองท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปได้ดีในระดับหนึ่ง แล้วสมควรขยายการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของ กระทรวง ทบวงกรมอื่นๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เมื่อ 1 ม.ค. 2453

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม

 

องค์พระผู้ก่อตั้ง ทรงเห็นว่าควรขยายกิจการให้กว้างขวางตามพระราชประสงค์เพื่อให้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์อันยิ่งใหญ่และถาวรในสมเด็จพระบรมชนกาธิราช พระองค์จึงได้พระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าจำนวน 9 แสนกว่าบาท ให้ใช้เพื่อสร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระคลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ซึ่งอยู่ที่ อ.ปทุมวัน

ครั้งนั้นมีการเปิดสอน 8 แผนกวิชา ได้แก่ การปกครอง กฎหมาย การทูต การคลัง การแพทย์ การช่าง การเกษตร และวิชาครู จัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน หรือที่เรียกเป็นคณะในปัจจุบัน คือ โรงเรียนรัฏฐประศาสนศาสตร์ ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ตั้งอยู่ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา โรงเรียนราชแพทยาลัย ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงเรียนเนติศึกษา ตั้งอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และโรงเรียนยันตรศึกษา ตั้งที่วังใหม่ หรือวังกลางทุ่ง หรือวังวินเซอร์ ซึ่งเคยเป็นวังของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้สังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการ

ในระยะแรกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียบัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดับปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตปทุมวันและวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม ม.ร.ว.กัลยา ติงศภัทิย์

 

ต่อมาเมื่อปี 2465 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาในระดับปริญญาได้

หลังจากนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขยายการจัดการศึกษา โดยจัดตั้งคณะและแผนกอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น คณะนิติศาสตร์ โดยรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมและแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน คณะรัฐประศาสนศาสตร์เดิม เข้าไว้ด้วยกัน แผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งหมายถึงโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบัน

ระหว่างปี 2476-2486 การจัดการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีการโอนย้ายส่วนราชการออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อปี 2476 มีการโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) และ ปี 2486 มีการโอนย้ายคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ และแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ เพื่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ยังคงใช้สถานที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการศึกษาอยู่ ดังนั้น ทั้ง 3 คณะจึงถูกโอนกลับมาเป็นคณะวิชาในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ช่วงปี พ.ศ. 2486-2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่างๆ ให้กว้างขวางขึ้น โดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก โดยมีการจัดตั้งคณะขึ้นใหม่หลายสาขา และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างกว้างขวาง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม

 

หลักเฉลิมพระนครแห่งกรุงสยาม

ม.ร.ว.กัลยา เล่าว่า องค์พระผู้ก่อตั้งทรงดำริให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็น “หลักเฉลิมพระนครแห่งกรุงสยาม” (The Pillar of the Kingdom) ตามพระราชปณิธานที่ทรงเห็นว่า มหานครใหญ่ทั่วโลกต้องมีมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ และตอนนี้สถาบันแห่งนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่าได้ดำรงตามพระราชดำริมาตลอด 100 ปี

“ในโอกาสนี้เราจะจัดกิจจกรรมเพื่อบอกเล่าสิ่งที่ทำมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ภาคส่วนต่างๆ ของเราจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงจัดทำหนังสือขึ้นมาอีกหลายเล่ม โดยมีเล่มสำคัญอย่างเช่น เรื่อง “การบริหารจัดการองค์กรมหาวิทยาลัย” ที่มีอาจารย์เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นประธานในการจัดทำขึ้น เป็นหนังสือที่บันทึกความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจุฬาฯ เราได้สร้างอะไรมาบ้าง ที่จริงเป็นหนังสือที่เรียกว่า เป็นเสมือนประวัติอุดมศึกษาในส่วนของการบริหารก็ว่าได้” รองอธิการบดีจุฬาฯ กล่าว

ม.ร.ว.กัลยา กล่าวว่า หากหนังสือเล่มนี้แล้วเสร็จ จะทำให้ทราบบทบาทของสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม เปลี่ยนผ่านสู่ยุคต่างๆ จากอดีตจนถึงช่วงปัจจุบัน ก้าวจากมหาวิทยาลัยของรัฐบาล มาจนถึงการออกมาเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ รวมถึงบทบาท ลักษณะการทำงานของอธิการบดีในแต่ละยุค

“ยกตัวอย่างเรื่องการบริหารบัณฑิตศึกษา หรือระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ที่ยุคแรกเริ่มเราเคยรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน บริหารโดยคณะบัณฑิตวิทยาลัย แต่เมื่อผ่านไป 20 ปี แล้วเห็นว่า ทุกคณะเริ่ม
เข้มแข็ง เราก็เปลี่ยนรูปแบบการบริหารด้วยการกระจายอำนาจให้คณะดูแล” ม.ร.ว.กัลยา กล่าว

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม

 

ก้าวสู่อนาคต

ในส่วนของความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้ริเริ่ม โครงการยักษ์อย่าง “อุทยานและถนนจุฬาฯ 100 ปี” บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าให้เสร็จในเดือน มี.ค. 2560

อุทยานดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณจุฬาฯ ซอย 9 จรดถนนบรรทัดทอง ก่อสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดสืบสานความสง่างาม สอดประสานองค์ความรู้ สรรค์สร้างสู่ความยั่งยืน เพื่อให้เป็นอุทยานแห่งการเรียนรู้ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เชื่อมโยงระหว่างนิสิตกับชุมชน คนกับธรรมชาติ เชื่อมต่อแนวแกนสีเขียว ตามแผนแม่บทของมหาวิทยาลัย ตั้งใจที่จะให้สวนแห่งนี้เป็น “ปอดกลางเมือง” และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งหนึ่งของใจกลางเมืองหลวง

ทั้งนี้ ภายในอุทยานฯ จะปลูกพืชพันธุ์พื้นถิ่นหลากหลายชนิด ตามแนวคิดป่าในเมืองที่ได้วางไว้ มีอาคารอเนกประสงค์สำหรับจัดนิทรรศการและกิจกรรม พร้อมพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยห้องเรียนรูปแบบต่างๆ พื้นที่ชุ่มน้ำประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศและนันทนาการ จัดสร้างสวนซึมน้ำ และพื้นที่แก้มลิงบริเวณทางเข้าอุทยาน

ตามแผนแม่บทจุฬาฯ 100 ปีเดิม เคยมีการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงาน ซึ่งสอดคล้องและต่อเนื่องไปกับการปรับภูมิทัศน์ อาทิ การให้บริการรถโดยสารภายในจุฬาฯ (Shuttle Bus) โครงการผลิตปุ๋ยหมักจากใบไม้ การลดปริมาณรถยนต์ที่สัญจรภายในมหาวิทยาลัย โดยจัดสร้างที่จอดรถ 4 มุม เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ และผู้มาติดต่อมหาวิทยาลัยนำรถเข้ามาจอดในอาคารจอดรถและโดยสารรถ Shuttle Bus หรือเดินเท้าในพื้นที่ได้ โดยมีการจัดทำทางเดินมีหลังคา โครงการรถจักรยานภายในเพื่อลดจำนวนรถยนต์โครงการจุฬารักษ์โลก มีการปลูกต้นไม้ทุกปีและปีละประมาณ 2 หมื่นต้น เป็นปีที่ 8 ติดต่อกันมาแล้ว

1 แสนบัณฑิต...100 ปีจุฬาฯ จากอดีตสู่อนาคต...เก่งไม่พอต้องมีจริยธรรม

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการขยะรีไซเคิล โครงการประหยัดพลังงานในอาคารต่างๆ ที่ผ่านมาได้นำโครงการมหาวิทยาลัยสีเขียวไปสู่ยุทธศาสตร์เป็นสุข โดยมีเป้าหมายให้เป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืน มุ่งอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ให้น่าทำงานและน่าอยู่ มีความปลอดภัย ทำให้นิสิต บุคลากรและชุมชนรอบข้างมีความสุข มีโครงการอาหารทอดซ้ำ โครงการวิจัยลดคาร์บอน การนำเศษอาหารจากโรงงานมารีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นก๊าซ นำน้ำที่เหลือใช้มารดต้นไม้

ด้านกายภาพภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย จะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนจุฬาฯ ซอย 5 ตลอดแนวตั้งแต่ถนนพระราม 4 จรดถนนพระราม 1 ให้เป็นถนนสีเขียว พร้อมปรับความกว้างถนน 30 เมตร รวมพื้นที่ถนนดังกล่าวอีก 21 ไร่ รูปแบบที่กำหนดไว้ คล้ายจามจุรีสแควร์ ด้านล่างเป็นพื้นที่ร้านปลีก ส่วนด้านบนจะเป็นอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และมีเพิ่มส่วนของโรงแรม วงเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 7,000 ล้านบาท สูงกว่าตอนเปิดประมูล เนื่องจากเวลาผ่านมาทำให้ต้นทุนราคาวัสดุและแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ทั้งที่ขนาดเล็กกว่าจามจุรีสแควร์ โดยโครงการใหม่นี้มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร จามจุรีสแควร์เกือบ 3 แสนตารางเมตร รูปแบบจะมี 2 ทาวเวอร์ แบ่งเป็นโรงแรมกับเรสเดนซ์ 1 ทาวเวอร์ และอาคารสำนักงานอีก 1 ทาวเวอร์ นอกจากโครงการดังกล่าว ในปีนี้สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ยังเตรียมรีโนเวตหรือปรับปรุงอาคารเก่า บริเวณถนนพระราม 4

ขณะที่ในส่วนของกิจกรรม ยังมีในส่วนที่สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) นำโดย เทวินทร์ วงศ์วานิช นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) โดยสมาคมนิสิตเก่าทุกคณะ รวม 22 คณะ กำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง 100 ปี แห่งการสถาปนา ระยะเวลา 1 ปีเป็นอย่างน้อย วัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณก่อตั้ง

สนจ.ระบุว่า นิสิตปัจจุบันและนิสิตเก่า ทุกรุ่นที่รับใช้สังคมในทุกภาคส่วน จะกลับมาระดมสมองเพื่อพัฒนาด้านวิชาการ งานวิจัย และนวัตกรรมให้แก่จุฬาฯ ขณะเดียวกันยังเป็นการรวบรวมผลงานเกียรติภูมิชาวจุฬาฯ ในบทบาทผู้รับใช้สังคม และสร้างสาธารณประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประเทศชาติ

อีกส่วนหนึ่ง คือ กิจกรรมดนตรีCU Band จัดคอนเสิร์ตรวมพลังศิลปินนักร้องนักดนตรีจุฬาฯ บริเวณพื้นที่กลางแจ้ง การแสดง CU Orchestra CU-Chorus กับกิจกรรมแสง สี เสียง ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน บอกเล่าประวัติจุฬาฯ ณ เทวาลัย ใช้การแสดงดนตรีถ่ายทอด ตำนานของจุฬาฯ ผ่านทางมิวสิคัล รวมถึงมีรายการ “100 ปีเกียรติภูมิจุฬา” ซึ่งเป็นการร้อยเรียงเรื่องราวผ่านสารคดีบันทึกคุณความดีของนิสิตเก่า ออกอากาศทางทีวีดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

เป้าหลอมอนาคต

ม.ร.ว.กัลยา เล่าอีกว่า นอกจากกิจกรรมที่กล่าวมาแล้ว เพื่อก้าวสู่ศตวรรษใหม่ จุฬาฯ ยังวางแผนสร้างความเปลี่ยนไปจนถึงการเรียนการสอนในระดับห้องเรียนอีกด้วย

“ส่วนที่เราจะทำในอนาคต นอกจากกิจกรรมเฉลิมฉลองแล้ว ยังมีในส่วนของการเรียนการสอนที่เราตั้งเป้าพัฒนาความเป็นเลิศให้นิสิตนักศึกษา โดยส่วนที่เราจะจัดการคือ ห้องเรียนในอนาคต ที่จะไม่ใช่ห้องเรียนเลกเชอร์แบบเดิมๆ อีกต่อไป ในอนาคตเราจะสร้างห้องเรียนแบบ ‘สมาร์ทคลาสรูม’ ให้เรียนรู้เนื้อหาด้วยระบบไอที อาจจะต้องทำกระทั่งจัดโต๊ะเรียนใหม่ ที่ไม่ใช่นั่งเรียนแบบเรียงหน้ากระดาน แต่แบ่งเป็นกลุ่ม ล้อมโต๊ะเรียนผ่านสื่อหลากหลาย ให้เรียนรู้แบบกลับด้าน หรือห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสนำเนื้อหานั้นๆ กลับไปศึกษาด้วยตัวเองที่บ้านหรือหอพัก แล้วนำความรู้ที่ได้เรียนรู้มาจากที่บ้าน กลับเข้ามาในห้องเรียนเพื่อเข้าสู่ขบวนการอภิปรายในชั้นเรียนหาข้อสรุป โดยมีผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก

“ขณะเดียวกัน เราตั้งเป้าไว้ว่า จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ ด้วยการส่งเสริมการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยนำโจทย์ความจำเป็นและความต้องการของประเทศ มาเป็นแนวทางในการวิจัยให้เชื่อมโยงไปถึงประชาชน ภาคเอกชน ให้งานวิจัยตอบสนองต่อเศรษฐกิจและสังคม” รองอธิการบดีจุฬาฯ กล่าว

เพื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ม.ร.ว.กัลยา กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมายด้านการเรียนการสอนของจุฬาฯ จะไม่ใช่แค่เพื่อจบการศึกษา แต่นิสิตนักศึกษาที่กำลังก้าวออกไปสู่สังคมต้องสามารถทำงานที่แต่ละคนถนัดให้ได้ดีและมีจริยธรรม

“100 ปีที่ผ่านมา เราส่งบัณฑิตออกไปสู่สังคมแล้วกว่า 1 แสนคน ปัจจุบันเราเติบโตจนแต่ละปีเฉลี่ยแล้วผลิตผู้สำเร็จการศึกษาประมาณ 1.1 หมื่นคนเป็นปริญญาตรี 6,000 คน ที่เหลือเป็นปริญญาโทและเอกรวมกัน ไม่ว่าผู้บริหารกระทรวงหน่วยงานไหนของรัฐหรือภาคเอกชน ต่างก็มีศิษย์เก่าของจุฬาฯ เข้าไปทำหน้าที่ออกไปช่วยเหลือประเทศ เราผ่านปีที่ 100 มาแล้ว แต่นั่นจะไม่ใช่เหตุผลที่เรานำมาใช้อ้าง เพื่อหยุดพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก”

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68