ชนาภัณฑ์ ธรรมรัฐ บำบัดใจ ด้วยละคร
ยามป่วยไข้ด้วยโรคทางใจส่วนใหญ่จะนึกถึงการรักษาด้วยการพบจิตแพทย์ เพราะคิดว่าการสื่อสารด้วยการพูดเที่ยงตรงชัดเจนที่สุด
โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ... วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
ยามป่วยไข้ด้วยโรคทางใจส่วนใหญ่จะนึกถึงการรักษาด้วยการพบจิตแพทย์ เพราะคิดว่าการสื่อสารด้วยการพูดเที่ยงตรงชัดเจนที่สุด แต่การบำบัดจิตนั้นมีวิธีการรักษาหลากหลายเทคนิคที่ไม่ใช่แค่การพูดจูงใจ การบำบัดจิตด้วยละครก็เป็นศาสตร์หนึ่งที่ช่วยรักษาผู้ป่วยด้านสุขภาพจิต
ในประเทศไทยยังไม่รู้จักวิธีการนี้มากนัก ถือว่าเป็นศาสตร์ที่ใหม่ในเมืองไทยมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้น้อยมาก หนึ่งในนั้นคือ ชนาภัณฑ์ ธรรมรัฐ นักบำบัดจิตด้วยละคร ที่เรียนศาสตร์นี้โดยตรงจากประเทศอังกฤษ
เธอเรียนจบปริญญาตรีที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา วิชาเอกจิตวิทยา วิชาโทการละคร เรียนแอ็กติ้งการทำละคร จบมาทำงาน HR ฝ่ายเทรนนิ่งของบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งทำไปสักพักรู้สึกว่าไม่ใช่ ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษด้านละคร และเรียนต่อปริญญาโทใบที่สองด้านการละครและการเคลื่อนไหวบำบัด ฝึกงานด้านจิตวิทยาคลินิก ลักษณะของการให้คำปรึกษา ถามว่าชอบจิตวิทยาไหม เธอว่าชอบจิตวิทยา แต่ไม่ชอบสไตล์การทำงานของมัน
การบำบัดจิตด้วยละครนั้นเป็นศาสตร์ใหม่ ศาสตร์นี้ทำให้เธอได้สนุกกับการทำงานมากขึ้น เพราะเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการละครซึ่งเธอชอบ ทำให้เกิดความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับตัวเอง และการที่ได้ตีโจทย์ทำความเข้าใจตัวละครเธอจะชอบบทบาทนั้นมาก
“ศาสตร์ของละครเป็นศาสตร์ที่ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเอง ทำให้เข้าใจความคิดความเป็นไป การที่จะทำความเข้าใจในความเป็นคนด้วยศาสตร์การละครมานั่งตีโจทย์ทำความเข้าใจตัวละคร จะชอบส่วนนั้นมากเพราะมันสนุก ทำให้รู้ว่าตัวมันพัฒนายังไงหรือผู้เขียนเขาแต่งยังไงมีมุมมองอย่างไร รู้สึกว่าการที่จะทำความเข้าใจความเป็นคนด้วยมุมมองศาสตร์การละคร โอ๋รู้สึกว่ามันสนุกมาก ฉะนั้นการที่จะทำความเข้าใจในสองส่วน มันไม่ใช่นักจิตวิทยาคลินิกที่ต้องทำเทสต่างๆ แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะเป็นนักแสดงบนเวทีหรือทำละครเพียวๆ แล้วไม่ได้อยากเป็นนักจิตวิทยาเพียวๆ ก็เลยมาลงตัวตรงนี้เรียกว่าเป็นนักละครบำบัดหรือนักจิตบำบัดด้วยละคร”
เธอทำงานกับหน่วยงานต่างๆ มามากมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความเชี่ยวชาญและความชำนาญเกี่ยวกับสายอาชีพนี้ จึงเป็นที่น่าเชื่อถือได้ เธอเล่าว่าการทำงานที่ผ่านมาและที่ทำอยู่ คือทำงานเป็นนักจิตบำบัดด้วยละคร เคยทำงานที่บ้านพักคนชราของชาวยิวที่ประเทศอังกฤษและเคยทำงานกับศูนย์ผู้อพยพชาวอินเดียและปากีสถานตอนเหนือของลอนดอน ทำงานอยู่ที่ประเทศอังกฤษอยู่ 5 ปี ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพและที่โรงพยาบาลอีก 2 แห่ง
เธอทำงานด้านการบำบัดจิตด้วยการละครต้องพบปะกับผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยได้เล่าประสบการณ์ให้ฟังเกี่ยวกับการปัญหาที่พบทั้งของเด็กและวัยรุ่น รวมถึงปัญหาของผู้ใหญ่คนชราที่มีความแตกต่างกันออกไป
ปัญหาของเด็กคือปัญหาการรังแกกัน ทักษะการเข้าสังคม ความรุนแรงภายในบ้านที่ส่งผลกระทบในการเรียนของเด็ก ก็จะทำงานกับทีมของโรงเรียนกับนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งที่บ้านเราไม่มีเป็นระบบแบบที่อังกฤษ
ปัญหาของผู้ใหญ่ คนชราก็จะเป็นกลุ่มชาวยิว บางคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมจำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ละครบำบัดทำงานคือการสร้างความตระหนักรู้กับตัวเอง สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย แม้จะจำไม่ได้แต่สิ่งที่จะได้คือประสบการณ์และความรู้สึกที่เขาอยู่กับมัน บางครั้งการที่ได้เปิดพื้นที่ระบายออกถึงความอึดอัดใจ ความเครียดกังวล
“เคสคนแก่คนหนึ่งที่มีความกังวลมากๆ ว่าวันนี้ครบรอบที่จะต้องไปจ่ายค่าไฟ ซึ่งความจริงเขาไม่ต้องไปจ่ายค่าไฟแล้ว ด้วยอาการของโรคเขาจะไม่อยู่กับปัจจุบัน จะอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกับเราเป็นภาพในอดีต เขาพยายามที่จะบอกทุกคนว่าวันนี้จะต้องไปจ่ายค่าไฟ แล้วเขาจะเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อทุกคนห้ามไม่ให้ไป สิ่งที่ละครบำบัดทำงานคือสร้างซีนของการจ่ายค่าไฟเพื่อให้เขาปลดล็อกความกังวลนั้นมันมีกระบวนการที่ซับซ้อนเราสร้างซีนการจ่ายค่าไฟเสร็จก็จะค่อยๆ ดึงเขาให้มาอยู่เวลาปัจจุบัน บอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ไม่มีความจำเป็นที่จะจ่ายค่าไฟแล้ว เราต้องเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ จะต้องจำลองสถานการณ์หรือสร้างเป็นซีนสั้นๆ เราก็ให้สมาชิกที่มีบทบาทอยู่ในนั้น ให้เขาเล่าถึงความกังวล แล้วเราก็ดึงเขามาอยู่กับปัจจุบัน บอกเขาว่าไม่ต้องไปจ่ายค่าไฟแล้วนะ เพราะค่าไฟถูกจ่ายโดยครอบครัวของเขาทุกเดือนอยู่แล้ว”
เหมือนเวลาเราทำงาน ต้องเจอคนไข้ของเราในจุดที่เขาอยู่ เพราะถ้าเราไม่ได้มองเห็นเขาในจุดที่เขาอยู่จริงๆ สิ่งที่เขาแสดงออกมาคือความก้าวร้าว โวยวาย ความเครียด ความกังวล แต่ด้วยการละคร มันมีศักยภาพของการจำลองสถานการณ์ มันมีการเปิดพื้นที่การจินตนาการ เราสามารถสร้างซีนสร้างความเป็นไปได้แล้วค่อยๆ ดำเนินเรื่องมากับเขาสิ่งที่ทำงานกับมันคือ การที่ย้อนกลับไปในเวลาตรงนั้นแล้ว ทำให้สิ่งที่มันคั่งค้างใจให้มันจบ
ในส่วนของละครบำบัดคือใช้เทคนิคโดยการย้อนกลับไปแต่เราแก้ไขอดีตไม่ได้นะ แต่สิ่งที่ทำคือเราสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น บางอย่างเราจบไม่ได้หรอก อย่างเช่น อาจจะมีการสูญเสียบางอย่าง ละครบำบัดก็จะทำงานร่วมกับสภาวะความรุนแรง ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่อารมณ์ความรู้สึก เราอาจจะเปิดพื้นที่ส่วนที่สามารถเศร้ากับมันได้ ร้องไห้กับมันได้ ผิดหวังหรือคร่ำครวญกับมันได้ จนกระทั่งเขาอยู่ในภาวะที่พร้อมที่จะยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่การปรับตัวและใช้ชีวิตในปัจจุบัน
เธอมองว่าละครบำบัดทำงานอ้างอิงกับจิตวิทยามาก เพราะว่ามันเป็นส่วนของการที่สร้างความสมดุลให้กับตัวเอง แต่ละครบำบัดมีกระบวนการที่เน้นหนักคือที่ตัวเขา ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแล้วหาทางเลือกให้กับตัวเอง
การทำงานเป็นนักละครบำบัดจะไม่ได้ชี้นำว่าจะต้องทำอย่างนี้ 1 2 3 4 แต่เป็นการบำบัดเชิงที่ผู้บำบัดจะต้องหาหรือทำความเข้าใจตัวเอง เช่น “ฉันเป็นคนไม่ดี เพราะว่าป้าบอกฉันว่าฉันเป็นคนไม่ดี” สิ่งที่เราทำงานคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับเขา การที่ป้าบอกว่าคุณเป็นคนไม่ดีมันแสดงว่าคุณเป็นคนไม่ดีเหรอ ทำความเข้าใจใหม่ เพราะฉะนั้นคุณค่าอยู่ที่ตัวเขา มันจะเป็นลักษณะของการทำความเข้าใจที่มาที่ไปของอารมณ์ความคิดว่ามันมีที่มายังไง
บางคนถามว่าต้องมาพบนักจิตบำบัดด้วยละครกี่ครั้งถึงจะหาย เวลารักษาสิ่งที่สำคัญขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เทคนิคนี้เหมาะกับเขาหรือเปล่า คือเทคนิคนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางคนอาจจะถนัดแบบทอล์กเทอราพี บางคนสัมพันธภาพไปด้วยกันได้ไหม เหมือนกับว่าเขาสามารถที่จะไว้วางใจเราได้ไหม เขาสามารถที่จะแบ่งปันเรื่องราว เขารู้สึกว่าเราปลอดภัยพอที่เขาจะเล่าเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญในชีวิตของเขาได้ไหม
ไม่มีเกณฑ์ตัดสินว่าเขาอยู่ในระดับดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง แล้วพัฒนาจากสิ่งที่เขาทำได้ เช่น บางคนเคสที่เขาไม่ถนัดการพูด เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ ต้องบอกว่ามันมีหลายเทคนิค เราสามารถใช้ผ่านงานอาร์ตก็ได้ ผ่านการเคลื่อนไหวก็ได้ ผ่านการสร้างจังหวะดนตรีก็ได้ ผ่านการใช้สีก็ได้ ผ่านการสร้างโมเดลหรืออะไรก็ได้ที่เล่าความเป็นตัวเอง บางคนมีสไตล์การสื่อสารไม่เหมือนกัน หรือบางทีคนที่พูดเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดหรือเขารู้สึกอย่างที่พูดนะ มันมีลักษณะของการพิจารณาหลากหลาย เป็นไปได้ว่าเราไม่คุ้นชินกับการบอกความคิดความต้องการของตัวเอง บางทีเขาพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากได้ยิน
ปัญหาสุขภาพจิตควรใส่ใจให้มากขึ้น เพราะสุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกายที่ต้องดูแลเอาใจใส่ให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านจิตใจ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม
ทุกวันนี้เราเห็นหน้ากันน้อยลง รับฟังให้เข้าใจกันก็น้อยลง บางคนรับฟังแต่ไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือไม่ได้อยากจะได้ยิน เราเข้าใจกันน้อยลง เราจะเห็นบ่อยๆ ลูกนั่งเล่นเกม พ่อนั่งเล่นไอแพด
“ถามว่าถ้าเด็กมีปัญหาจะโทษใคร หากย้อนกลับไปตอนนี้พื้นฐานครอบครัวยังไม่แข็งแรง การให้ความรัก สัมพันธภาพ ความอบอุ่น ให้ความศรัทธากับคนอื่น ความรู้สึกปลอดภัย ความเชื่อใจกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน ทุกอย่างมันพัฒนามาจากพื้นฐานของครอบครัว แต่ตอนนี้เรื่องของสถาบันครอบครัวเปราะบางมาก มันมีเรื่องของความรุนแรงในบ้าน ปัญหาการหย่าร้างปัญหาเรื่องการเข้าใจลูกน้อยลง การสื่อสาร ในครอบครัวน้อยลงเด็กก็เลยขาดความรัก”


