เช็งเม้ง สัมผัสธรรมชาติกับอีกด้านของมนุษย์
คำว่าเช็งเม้งจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีน คือการเดินหาฮวงซุ้ย ญาติๆ มาเจอกันอีกครั้ง
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
คำว่าเช็งเม้งจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีน คือการเดินหาฮวงซุ้ย ญาติๆ มาเจอกันอีกครั้ง น้าอาลูกหลานโปรยดอกไม้กับกระดาษสีสันสดใส ธูปเทียนสำรับอาหาร เต็นท์ผ้า และคำนัดแนะกันให้ออกตัวแต่เช้ามืดจะได้เลี่ยงทั้งรถติดและแดดร้อน
ตรงกันข้ามกับสภาพอากาศในเมืองไทย ช่วงเช็งเม้งที่จีนมีสภาพอากาศสดใส อุ่นสบายหายหนาว เหมาะแก่การออกมาชมฟ้าปะทะแสงแดด
“เช็งเม้ง” คือชื่อหนึ่งใน 24 ฤดูย่อยของปฏิทินจีน ฤดูย่อยแต่ละฤดู ถ้าแปลออกมาเป็นไทยจะมีชื่อว่า “เริ่มใบไม้ผลิ” “ตื่นจำศีล” “ร้อนจัด” “ธัญญาหารแตกหน่อ” “หนาวจัด” ฯลฯ ทั้งหมดฟังดูบ้านๆ เข้าใจง่าย ส่วนคำว่าเช็งเม้ง แปลว่าสดชื่น ปลอดโปร่ง
เล่นมุขเชยๆ ให้ฟังซักหน่อยว่า ถ้าหากไทยแบ่ง 24 ฤดูย่อยเช่นกัน ส่วนใหญ่คงนำหน้าด้วยความว่า ร้อน ...ร้อนจัด ร้อนจัดจัด ร้อนจัดจัดจัด ในช่วงเช็งเม้งน่าจะร้อนประมาณเลเวล 4 แต่ถ้าลูกหลานคนไหนไปแต่เช้ามืดก็อาจจะพอได้สัมผัสความสดชื่น ปลอดโปร่ง กระจ่างใส สมชื่อเทศกาล
นอกจากเป็นชื่อฤดู “เช็งเม้ง” คือเทศกาลที่ลูกหลานชาวจีนต้องแสดงความกตัญญู โดยไปปัดกวาดทำความสะอาด และทำพิธีบูชาฮวงซุ้ยบรรพบุรุษ โดยมีกำหนดการในช่วงฤดูนี้โดยประมาณ
ช่วงเช็งเม้งคนสดชื่น ประสาทสัมผัสตื่นตัว ต้นไม้ก็สดชื่นสดใสสะสมพลังงอกเงย ชาวจีนยังถือคติให้เริ่มต้นเพาะปลูกทำสวนทำไร่ช่วงนี้ และไม่ใช่แค่พืชสวนพืชไร่จะเริ่มงอกงาม วัชพืชแถวฮวงซุ้ยก็เช่นกัน ลูกหลานจึงต้องไปปัดกวาดถอนรากก่อนจะขึ้นรก
คติจีนโบราณบอกว่าช่วงนี้เหมาะกับการ "ย่ำของเขียว” ซึ่งก็คือต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่นอกกำแพงเมือง การไปปัดกวาดบูชาบรรพบุรุษที่นอกเมือง คนเป็นจึงได้สัมผัสธรรมชาติที่ปลอดโปร่งไปด้วย
ทั้งหมดเป็นคำอธิบายจากภูมิอากาศ และภูมิประเทศของจีนนะครับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในภูมิอากาศแบบไทยอาจต่างกัน
เช็งเม้งเป็นเทศกาลใหญ่แต่โบราณ สมัยก่อนจะผสมกลมกลืนกับเทศกาลหานสือ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาก่อนเช็งเม้งประมาณ 1-2 วัน
ชื่อเทศกาลหานสือ แปลว่าเทศกาลทานของเย็น (ชืด) เทศกาลนี้คือเทศกาลห้ามใช้ไฟปรุงอาหาร ตำนานของเทศกาลนี้เกี่ยวกับ เจี้ยจื่อทุย ขุนนางผู้ภักดี ไม่หวังลาภยศ เพราะกษัตริย์อยากเรียกมาตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือกันมา แต่เจี้ยจื่อทุยไม่ยอมมาพบ กษัตริย์ถึงกับต้องวางเพลิงไล่ให้ลงจากเขา แต่กลายว่าเป็นเจี้ยจื่อทุยโดนไฟคลอกตาย กษัตริย์รู้สึกผิด เพื่อระลึกถึงขุนนางเจี้ยจื่อทุย จึงให้ชาวบ้านงดก่อไฟในวันนี้ของทุกปี จัดเป็นตำนานที่น่าเศร้าและเหมาะแก่การขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง ของตำนานเทศกาลจีน
ประเพณีหานสือจึงเชื่อมกันกับประเพณีไหว้บรรพบุรุษในฤดูฟ้าใส การงดก่อไฟยังมีบางท้องถิ่นปฏิบัติอยู่ (โดยเฉพาะแถวซานซีซึ่งเป็นท้องถิ่นที่เกิดตำนาน) โดยจะไม่จุดไฟทำอาหารก่อนวันเช็งเม้ง ทานแต่อาหารที่ทำไว้ก่อนแล้วซึ่งเย็นชืด แล้ววันต่อมาจึงไปปัดกวาดทำความสะอาดทำความเคารพหลุมศพบรรพบุรุษ
ชาวไทยเชื้อสายจีนเท่าที่เห็นไม่ได้ใช้คติตามเทศกาลหานสือแต่อย่างใด
อีกตำนานที่เกี่ยวกับพิธีกรรมวันเช็งเม้งเกิดจาก “หลิวปัง” ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น
หลังยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ เกิดการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินของสองขุนพลใหญ่ หนึ่งในนั้นคือหลิวปังซึ่งอนาคตได้เป็นฮ่องเต้ เมื่อครั้งหลิวปังยกทัพผ่านบ้านเกิดตนเองก็เกิดนึกถึงฮวงซุ้ยของพ่อแม่ คิดจะไปกราบไหว้
ช่วงนั้นแม้แต่คนที่มีชีวิตยังบ้านแตกสาแหรกขาด สุสานต่างๆ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ หลิวปังพาลูกน้องไปถึงสุสาน แต่กลับกลายเป็นที่รกร้าง ป้ายหลุมศพแตกหักล้มระเนระนาด หญ้าขึ้นรก หาฮวงซุ้ยบุพการีของตนอยู่นาน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
สุดท้ายหวังพึ่งฟ้า หลิวปังหยิบกระดาษขึ้นมาฉีก คิดในใจว่า ขอให้ฟ้าบันดาลให้กระดาษที่จะโปรยไปปลิวไปตกนิ่งที่ฮวงซุ้ยบุพการี แล้วจึงโปรยกระดาษเหล่านั้นขึ้นฟ้า ปล่อยลมพัดพาอิสระไป
ปรากฏว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งตกนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนป้ายหินป้ายหนึ่ง และนั่นคือฮวงซุ้ยที่ตามหา
นี่คือที่มาของธรรมเนียมเอาหินทับกระดาษหลากสีสันบนป้ายฮวงซุ้ยในวันเช็งเม้ง เพื่อสื่อว่าลูกหลานได้มาเคารพฮวงซุ้ยนี้แล้ว (ลมแรงขนาดนั้น บารมีอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่เอาหินทับก็ปลิวสิครับ)
วัฒนธรรมจีนถือความกตัญญูต่อบรรพบุรุษคือคุณธรรมอันดีงาม แม้กระทั่งความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
อันที่จริงขงจื่อ-ปราชญ์แห่งวัฒนธรรมจีนไม่เคยคิดอธิบายถึงโลกหลังความตาย ขงจื่อกล่าวว่า “เรื่องการมีชีวิตยังไม่ทำความเข้าใจให้ดี จะคุยเรื่องชีวิตหลังความตายไปทำไม” ขงจื่อกับพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษจึงอาจเป็นความลักลั่นในบางมุมมอง ไม่เชื่อในโลกหลังความตายแล้วจะไหว้บรรพบุรุษไปทำไม?
สำหรับวิธีคิดแบบขงจื่อ การทำพิธีกรรมเคารพบูชาบรรพบุรุษ คือ การจัดการสภาวะทางจิต จิตใจของผู้คนที่ไม่รู้จะอธิบายหรือรู้สึกอย่างไร กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบรรพชน ซึ่งไม่แปลกที่บางส่วนจะพึ่งพาความงมงาย ทรงเจ้าเข้าผีถามหาคนตาย ซึ่งมีแต่จะพาคนเป็นเลอะเทอะ
พิธีกรรมจึงเข้ามาจัดการทั้งเหตุผลและอารมณ์ของผู้คน
ขงจื่อว่า “ปฏิบัติดั่งคนตายเป็นแค่คนที่ตายไปคือไร้จิตใจ แต่ปฏิบัติกับคนตายเหมือนยังมีชีวิต คือไร้สติปัญญา”
พิธีกรรมอาจเป็นเหมือนบทกวีที่ใครๆ อนุญาตให้มันข้ามเส้นความจริง ในขณะที่สติปัญญาของผู้รับฟังกวีนั้นยังสมบูรณ์อยู่ทุกประการ
พิธีกรรมอาจเป็นเหมือนภาพวาด ที่เรายินดีให้มันมีส่วนสร้างอารมณ์และจินตนาการ โดยรู้ตัวว่าภาพวาดไม่ใช่ตัวความจริง
ผู้คนไม่ต้องเศร้าโศกหรือเย็นชาเกินไปต่อผู้ล่วงลับ
พิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ ปัดกวาดสุสานให้สะอาด ถ้าบริหารจิตให้ดี จึงสามารถส่งเสริมมิติของความเป็นคนที่โดยธรรมชาติมีทั้งอารมณ์และเหตุผลอยู่คู่กัน
ระลึกถึง ปรารถนาดี และเคารพต่ออดีตลมหายใจของบรรพบุรุษ จึงเป็นอีกด้านที่มนุษย์พึงมี นอกเหนือจากแค่มิติด้านประสาทสัมผัส


