เรายัง 'ฟัง'กันอยู่รึเปล่า?
“เราทุกคนต้องการที่จะพูด แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่านั้นคือ ต้องการคนฟัง”
โดย...ปูปรุง ภาพ เอเอฟพี
“เราทุกคนต้องการที่จะพูด แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่านั้นคือ ต้องการคนฟัง” ว่ากันว่าสิ่งสวยงามที่สุดอย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์คือการยอมรับและรับฟังซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดรับกับสิ่งที่นักจิตวิทยาเคยบอกเอาไว้เช่นกันว่า พื้นฐานธรรมชาติของมนุษย์ข้อหนึ่งก็คือความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ และ “การฟัง” ก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการยกย่องหรือการให้เกียรติที่แต่ละคนสามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ ซึ่งคุณลักษณะที่ว่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อจิตใจของเราได้รับการพัฒนาหรือได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้น ใจที่เปิดกว้างเพื่อรับฟังผู้อื่น จึงนับเป็นกุญแจอีกดอกหนึ่งซึ่งสำคัญมากของการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในบรรดาทักษะทั้งหลายที่มีของคนเรา เชื่อหรือไม่ว่าการฟังกลับคือตัวเชื่อมที่อ่อนที่สุดในระบบการสื่อสาร ทั้งนี้ก็เพราะมีความไม่สมดุลเกิดขึ้นระหว่างความเร็วของการพูด (โดยเฉลี่ยอยู่ในอัตรา 125 คำ/นาที) กับความเร็วของการฟังและการคิดตาม (อัตราอยู่ที่ 500 คำ/นาที) นั่นหมายถึงมนุษย์เราสามารถฟังและทำความเข้าใจได้เร็วกว่าพูดถึง 4 เท่า ช่องว่างตรงนี้นี่เองที่ทำให้ผู้ฟังมีเวลาว่างระหว่างรอผู้พูด จึงเป็นเหตุให้สมองหันเหความสนใจไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ ใจลอย เสียสมาธิ เก็บประเด็นไม่ครบถ้วน ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการฟังที่ดีตามมา และเมื่อขยับไกลออกมานอกตัวอีก เราก็ยิ่งพบว่าปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งนั้นมาจาก “การไม่ยอมฟังกัน”
ภายในครอบครัว พ่อแม่ไม่ยอมฟังลูก ลูกไม่ยอมฟังพ่อแม่ สามีภรรยาไม่ฟังกัน ฯลฯ ภายในชุมชนหรือองค์กร ประเทศหรือภายในโลก ไม่มีใครยอมหยุดเพื่อฟังกัน แม้โลกเราจะล้ำหน้าไปด้วยเทคโนโลยีระดับสูงแค่ไหน สามารถพูดคุยสื่อสารกันข้ามทวีปหรือกระทั่งข้ามดวงดาวกันได้แล้ว แต่เหลือเชื่อที่บ่อยครั้งคนในสังคมเดียวกันกลับพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง สื่อสารกันไม่เข้าใจแม้จะใช้ภาษาเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะพวกเรายังขาดการฝึกฝนในเรื่อง “การฟังอย่างลึกซึ้ง” (Deep Listening) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญมากของคนในทุกสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
หลักการหรือเทคนิคของ “การฟังอย่างลึกซึ้ง” นี้ สามารถอธิบายให้พอเข้าใจง่ายขึ้น ก็คือคีย์เวิร์ด รู้ลมหายใจ ฟัง ใคร่ครวญ เป็นการฟังอย่างตั้งใจและฟังเพื่อให้ได้ยิน มีการเฝ้าสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของตนเองในขณะที่ได้ยินเสียงต่างๆ ผ่านเข้ามากระทบหู เป็นการฟังแบบ “มนุษย์สัมผัสมนุษย์” โดยวางภาพลักษณ์ต่างๆ อำนาจหน้าที่ ไม่ด่วนสรุปหรือวิพากษ์วิจารณ์คำพูด ความคิด และตัวผู้พูด
แต่จะฟังเพื่อให้ได้ยินทั้งความหมายที่แท้จริงที่แต่ละคนต้องการสื่อ และความหมายที่ถูกคลี่ออกมาจากการสนทนาเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็ “วาง” ชุดความคิด 2 ลักษณะ คือ ความคิดโต้แย้งกับความคิดที่จะไปต่อยอดหรือความรู้สึกดีๆ ที่คนอื่นคิดเหมือนเรา พร้อมกับไม่มองข้ามจุดยืนอื่นๆ และการเข้าถึงได้ไม่หมด
อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทักษะต่างๆ เหล่านี้ก็จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนเป็นปกตินิสัย ซึ่งการฝึกสมาธิและสติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสนับสนุนให้เกิดทักษะการฟังอย่างลึกซึ้งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติง่ายยิ่งขึ้น
ในสังคมของการอยู่ร่วม ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เยียวยาความทุกข์ได้ชะงัด คือการที่เรามีใครสักคนรับฟังอย่างจริงใจ สิ่งที่ดับอาการโกรธได้เด็ดขาด คือการที่อีกฝ่ายหยุดฟัง และสิ่งที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่ายังมีตัวตนอยู่ ก็คือการที่มีคนฟังเสียงของเขาอย่างตั้งใจ การฟังกันจึงเสมือนการเยียวยาทางจิตใจที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง เป็นคุณค่าที่เราได้มอบให้กับผู้อื่น หรือสังคมที่เราอาศัย แต่สิ่งนอกเหนือไปกว่านั้นอีกคือ คุณค่าที่สะท้อนกลับมาสู่ตัวเราเอง ซึ่งได้แก่ความสุขสงบในใจ การหนีพ้นจากความขัดแย้ง การด่วนตัดสินผู้อื่น หรือการยึดถือความคิดของตัวเองมากจนเกินไป
สำคัญยิ่งขึ้นไปอีก “การฟังเป็น” จะทำให้เราเปรียบเสมือน “ถ้วยชาที่ยังไม่เต็มถ้วย” ซึ่งเป็นสภาวะที่สร้างสุขภาวะ และยังช่วยเปิดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นไม่ว่าเราจะอยู่ร่วมกับใครหรือที่ใดก็ตาม
เกี่ยวกับผู้เขียน
ปูปรุง หรือปริยกร วิศาลโภคะ
นิเทศศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีงานเขียนแนวมองโลกสวยงามตามความเป็นจริง และแนวพัฒนาตนเอง+ธรรมประยุกต์
E-mail Address : pooproong @hotmail.com
www.facebook.com/ pages/ปูปรุง


