นุ่งซิ่นตักบาตร ปลุกตื่นฟื้นฟูวัฒนธรรมอีสาน
ได้เห็นภาพการนุ่งซิ่นตักบาตรของชาวมหาวิทยาลัยขอนแก่นทุกวันพระแรกของเดือน
โดย...พริบพันดาว ภาพ...เครือข่ายศิลปวัฒนธรรม สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ได้เห็นภาพการนุ่งซิ่นตักบาตรของชาวมหาวิทยาลัยขอนแก่นทุกวันพระแรกของเดือน เป็นภาพที่สวยงามเปี่ยมด้วยสีสันละลานตาท่ามกลางแดดเช้าตกกระทบสวยงาม บรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความสงบและอบอุ่นเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือร่วมใจในการที่จะปลุกฟื้นจิตวิญญาณและวิถีชีวิตของชาวอีสานในการทำบุญและตักบาตรในชีวิตประจำวันเมื่อครั้งอดีต
ภาพความงามของการนุ่งซิ่นใส่บาตรในตอนเช้าตรู่ที่มีบรรยากาศติดตาชาวโลกนั้น อยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ซึ่งโดยปกติแล้วนิยมใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อถึงเวลาฉัน ชาวบ้านจะยกสำรับกับข้าวไปถวายที่วัด เรียกว่าถวายจังหัน โดยเวลาใส่บาตรจะนั่งคุกเข่าและผู้หญิงต้องนุ่งซิ่น ส่วนผู้ชายนุ่งกางเกงขายาว และมีผ้าพาดไหล่ไว้สำหรับเป็นผ้ากราบพระเหมือนกันการตื่นแต่เช้า เพื่อมาตักบาตรข้าวเหนียวเป็นกิจกรรม
ภาพแบบนี้เคยเห็นเป็นปกติวิถีในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน แต่ปัจจุบันได้เลือนหายไป
นอกจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น การนุ่งซิ่นตักบาตรในตอนเช้าได้ถูกรื้อฟื้นในหลายๆ พื้นที่ของภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย มีการจัดงานทำบุญตักบาตร เชิญชวนพุทธศาสนิกชนนุ่งซิ่นติดผ้าสไบเฉียงใส่บาตรในช่วงเช้า และสัมผัสหมอกในเช้าเป็นประจำทุกวันศุกร์ ณ หน้าที่ว่าการอำเภอภูเรือ แต่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก หรือที่ อ.เชียงคาน ก็มีภาพให้เห็นงามตา ส่วน จ.ชัยภูมิ รณรงค์ให้นุ่งไทย นุ่งซิ่น ไม่นุ่งสั้น ทำบุญตักบาตรวันพระ หรือที่จ.ศรีสะเกษ พร้อมใจนุ่งซิ่น ผ้าไทยใส่บาตรข้าวจี่ ทำบุญประเพณีเดือน 3
สะท้อนให้เห็นว่าภาพอดีตของการนุ่งซิ่นกำลังหวนกลับมาสู่วัฒนธรรมร่วมสมัยปัจจุบันอยู่ไม่มากก็น้อย มาดูความเคลื่อนไหวการนุ่งซิ่นของคนอีสานในปัจจุบันกัน
ตักบาตรนุ่งซิ่น วันศีลวันพระ
การสืบเอกลักษณ์บรรพชน สานประเพณีพื้นถิ่นอีสาน รณรงค์สืบสานอัตลักษณ์ไทยและพื้นถิ่นอีสาน ตักบาตรนุ่งซิ่น วันศีลวันพระ ที่เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมประกอบกุศลทำบุญตักบาตร ณ พุทธศิลป์สถาน ริมบึงสีฐาน ทุกวันพระแรกของเดือน ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกว่าเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟู ประยุกต์ประเพณีอย่างสร้างสรรค์เข้ากับยุคสมัยใหม่ เป็นการขับเคลื่อนศักยภาพของทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
“จริงๆ เป็นแนวคิดของท่านนายกสภามหาวิทยาลัย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ซึ่งท่านก็บริหารเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แนวคิดของท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์แต่มีเรื่องของวัฒนธรรมรวมอยู่ด้วย ท่านก็บอกว่าเราต้องสร้างครีเอทีฟ สเปซ หรือพื้นที่ของการสร้างสรรค์ โดยมีธีมก็คือ "ไม่หลงของเก่า ไม่เมาของใหม่" และพลิกฟื้นวัฒนธรรมขึ้นมา เพื่อให้เป็นทุนทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นฐานในเศรษฐกิจสร้างสรรค์”
รศ.ดร.นิยม บอกว่า ชาวอีสานมีชีวิตผูกพันอยู่กับความเชื่อทางศาสนา จึงมักมีประเพณีเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตตลอดปี เรียกว่าฮีต 12 คลอง 14 โดยยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน ตรงไหนเป็นฮีตคองของอีสานที่ดีๆ ก็ให้รื้อฟื้น
“เราก็เอาแนวคิดนี้มาทำงานให้เป็นพื้นที่ของวัฒนธรรมสร้างสรรค์ทั้งหมด ซึ่งการตักบาตรก็เช่นเดียวกัน จริงๆ เราสามารถตักบาตรที่ไหนก็ได้ ใส่ชุดอะไรก็ได้แต่ต้องสุภาพเรียบร้อย พอนำแนวความคิดเรื่องตักบาตรนุ่งซิ่นไปคุยกับพระคุณเจ้า ท่านก็บอกว่าความจริงหัวใจของการตักบาตรมีอยู่ 2 ทำ ทำที่ 1 คือ ชำระกายให้บริสุทธิ์ และทำที่ 2 ชำระใจให้ผ่องผุด พร้อมที่จะตักบาตร ความหมายของการชำระกายคืออะไร ท่านก็แนะว่าคือ แต่งกายดี สำรวมกาย แล้วที่เราให้ความใส่ใจในเรื่องการแต่งกายดี เพื่อใส่บาตรก็เป็นกุศลบุญให้กับพวกเรา ก็เลยเป็นที่มาว่า มิน่าละคนอีสานเวลาเขาไปงานวัดไปงานบุญเขาจะแต่งกายดีจะให้ความเคารพสถานที่
“เพราะฉะนั้นคนอีสานโดยเฉพาะผู้หญิงเวลาไปวัดจะนุ่งซิ่น จะเป็นซิ่นที่มีความงามที่สุดที่มี ซึ่งในโอกาสอื่นจะไม่ใส่ถือว่าเป็นผ้าที่ดีที่สุดที่จะหยิบมาสวมใส่เวลาใส่บาตรเพื่อบูชาพระพุทธศาสนา นี่คือแนวคิดหลักก็มาคิดว่ากว่าชาวบ้านเขาจะใส่บุญใส่บาตรได้ คนอีสานเขาละเอียดลออในการใส่บาตรนุ่งซิ่น ก็เลยเป็นที่มาของการที่เรามารื้อฟื้นวัฒนธรรมการนุ่งซิ่นในการใส่บาตร”
การรณรงค์ให้นุ่งซิ่นก็มีการถามกันว่า ถ้าจะนุ่งซิ่นนุ่งวันไหนดี รศ.ดร.นิยม บอกว่าก็มาตกลงกันที่วันศีลวันพระ เพื่อจะเป็นนัยว่าการนุ่งซิ่นก็เป็นความเคารพศาสนาเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าไปด้วย ก็เลยตีโจทย์นี้และทำเป็นประจำทุกเดือน
“เวลาที่เราทำตรงนี้ก็สวยงาม มาตักบาตรนุ่งซิ่นคนมาร่วมกันหลายร้อยคนก็น่าตกใจ ไม่นึกว่าจะมากขนาดนี้ เพราะจะทำให้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้คนในมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้หวนไปสู่อดีต ที่สำคัญคนทำงานในมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยเฉพาะสุภาพสตรีเขามีผ้าซิ่นสวยๆ ที่หาโอกาสใส่ ซึ่งเราจัดตักบาตรนุ่งซิ่นทุกเดือน เดือนละครั้งสองครั้งก็ว่ากันไป ซึ่งผู้หญิงดีใจกันมากบอกว่า ได้ใส่ซิ่นสวยๆ แล้วถวายเป็นพุทธบูชาด้วย แล้วใส่ทำงานได้อย่างไม่เชย ตักบาตรเสร็จแล้วก็ทำงานต่อเลย”
รศ.ดร.นิยม ชี้ว่า คนอีสานจะเป็นคนที่มีพลังพร้อมเพรียงในเรื่องทำความดี การจุดประกายนุ่งซิ่นครั้งนี้เกิดจากพุทธศาสนา
“พระคุณเจ้าท่านก็ให้แง่คิดว่า การแต่งตัวดีไม่ได้แต่งตัวดีเพื่อตัวเอง แต่หมายถึงตัวเพื่อพุทธบูชาด้วย ชำระกายให้สะอาด ชำระใจให้บริสุทธิ์ ความจริงข้างในนั้นสำคัญกว่า ส่วนใหญ่ถ้าในดีนอกก็มักจะดีด้วย การแต่งกายดีไม่ได้หมายความว่าข้างในจะดี อย่างน้อยที่สุดการมีจิตใจดีก็สะท้อนออกมาในกายข้างนอก ถ้ากายดีใจดีก็ทำความดีต่อไป ท่านก็สอนสั่งอย่างนั้น ผมก็ว่าเป็นคำสอนที่มีประโยชน์ ยึดเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็จะจัดไปเรื่อยๆ สำหรับตักบาตรนุ่งซิ่น วันศีลวันพระก็ขยายวงออกไปเรื่อยๆ พลิกฟื้นชีวิตจิตวิญญาณวัฒนธรรมอีสาน ตอนนี้ก็เริ่มร่วมมือกับทางเทศบาลนครขอนแก่นในการจัดงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเพณีอีสาน”
ภาพสาวงามผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 ที่ทำกิจกรรมเก็บตัวนุ่งผ้าซิ่นลายพื้นเมืองของ จ.อุบลราชธานี ร่วมกันไปตักบาตรข้าวเหนียว ถือว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจและภูมิใจของชาวอีสาน การรณรงค์สืบสานการตักบาตรและนุ่งซิ่นวิถีท้องถิ่นลูกข้าวเหนียว วิทยา วุฒิไธสง นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เสริมแนวคิดเรื่องการนุ่งซิ่นว่าในปัจจุบันกลับมาได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ
“มีการประกวดผ้าซิ่นทั้งแบบดั้งเดิมและประยุกต์ ทำให้ตรงนี้ไม่สูญหายไป หากความนิยมใส่ผ้าซิ่นกลับมามากๆ จะเกิดมูลค่าในการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน และถือเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาไปพร้อมๆ กัน”
ซิ่น เป็นผ้านุ่งของผู้หญิง มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ทั้งขนาด การนุ่ง และลวดลายบนผืนผ้า โดยมีการสวมใส่ใน สปป.ลาว และประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสานของไทย ผ้าซิ่นนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของหญิงไทยในสมัยโบราณ การทอผ้าเป็นงานในบ้าน ลูกผู้หญิงมีหน้าที่ทอผ้า แม่จะสั่งสอนให้ลูกสาวฝึกทอผ้าจนชำนาญ แล้วทอผ้าผืนงามสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรืองานบุญประเพณีต่างๆ การนุ่งผ้าซิ่นของผู้หญิงจึงเป็นเหมือนการแสดงฝีมือของตนให้ปรากฏ ผ้าซิ่นที่ทอได้สวยงาม มีฝีมือดี จะเป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมอย่างกว้างขวาง
ผ้าซิ่นของไทยมักจะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ อย่างแรกคือ ผ้าซิ่นสำหรับใช้ทั่วไป มักจะไม่มีลวดลาย ทอด้วยผ้าฝ้ายหรือด้ายโรงงาน (ในสมัยหลัง) อาจใส่ลวดลายบ้างเล็กน้อยในเนื้อผ้า อีกอย่างหนึ่ง ผ้าซิ่นสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษมักจะทอด้วยความประณีตเป็นพิเศษ มีการใส่ลวดลาย สีสันงดงาม และใช้เวลาทอนานนับแรมเดือน วิทยา บอกว่า
“หากคนหันมานุ่งผ้าซิ่นกันในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเริ่มจากการกิจกรรมให้พวกเขามีส่วนร่วมและมีความร่วมสมัย ไม่ดูเชยและทำให้เขาภาคภูมิใจในภูมิปัญญาและจิตวิญญาณท้องถิ่น ซึ่งการตักบาตรนุ่งซิ่น วันศีลวันพระ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
คนอีสานมองการฟื้นฟูนุ่งซิ่น
ทุนทางศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามในอดีตที่ถูกหลงลืม จึงฟื้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการฟื้นฟู ค้นหาคุณค่า ความหมายที่ซ่อนแฝง สู่การประยุกต์ให้เหมาะสมกับยุคสมัย ผสานกับแนวคิดร่วมสมัยปรีดา ข้าวบ่อ บรรณาธิการนิตยสารทางอีศาน ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมของชาวไทยอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ทั้งในแง่มุมประวัติศาสตร์และความร่วมสมัย บอกว่าการจะฟื้นฟู หรือรณรงค์เรื่องใดๆ ก็คงต้องจุดประกาย มีจุดตั้งต้นและสร้างกระแสให้ต่อเนื่อง
“ที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องตระหนักรู้ว่าอะไรคือความยั่งยืน คือรากเหง้า คือความเติบใหญ่ของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวง กรม กอง ต้องหยุดการทำงานแบบผักชีโรยหน้า งบประมาณจากภาษีประชาชนทุกบาททุกสตางค์ต้องเกิดดอกสร้างผลให้แก่แผ่นดิน”
การรื้อสร้างวัฒนธรรมล้านช้าง ซึ่งมีเอกลักษณ์ใช้ผ้าสไบเฉียงและนุ่งผ้าซิ่นเป็นแบบฉบับคนอีสาน คนลาว นำมาประยุกต์ให้ร่วมสมัย การที่ชาวอีสานนุ่งซิ่นเป็นเรื่องดี เพราะเป็นทั้งอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ อันแสดงออกถึงชาติพันธุ์วรรณนาที่มีความหลากหลายของสังคมไทย ปรีดา ขยายความว่า
“การนุ่งซิ่นแสดงถึงความเข้มแข็ง เมื่อกล้าแสดงออกทางวัฒนธรรมการแต่งกาย ก็ย่อมกล้าแสดงออกถึงวิถีชีวิตในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านภาษา ทั้งภาษาพูดและอนุรักษ์ฟื้นฟูภาษาเขียน ประชากรของเราในภาคอีสานมีร่วม 20 ชาติพันธุ์ ทั่วประเทศถ้าแยกย่อยให้ละเอียดในทุกๆ ด้านมีร่วม 60-70 ชาติพันธุ์ ถึงวันนี้ต้องฟื้นคืนพลังชีวิตให้ทุกชาติพันธุ์เข้มแข็ง การที่พี่น้องผู้ไทสำแดงความเป็นตัวของตัวจนโดดเด่น จนสามารถจัดงานผู้ไทโลกมาหลายปี ถือเป็นความเข้มแข็งและงดงาม”
นอกจากนั้น ปรีดา บอกว่า ไม่ใช่แค่ซิ่นของชาวอีสาน แต่ยังมีผ้าพื้นถิ่นของพี่น้องกูย กวย แขมร์ ก็ต้องลุกขึ้นมาใส่โสร่ง พี่น้องชาวโส้ง ชาวโย้ย ฯลฯ ก็เช่นกัน
“เรื่องผ้าย้อมครามของชาวสกลนครก็ไม่แพ้ใคร สิ่งสำคัญที่ตามมาไม่แพ้กันคือเรื่องเศรษฐกิจครับ ชาวบ้านมีงานทำมีรายได้ ลดทอนการซื้อหาเสื้อผ้าจากภายนอกจากต่างประเทศ แล้วผ้าพื้นบ้าน หัตถกรรมพื้นถิ่น ก็เป็นที่ต้องการจากทั่วโลก เสร็จจากงานนาก็ไม่ต้องไปขายแรงงาน ครอบครัวอบอุ่น หมู่บ้านมีชีวิตชีวา”


