วิชาความรู้ กับวิชาความดี
ฉันเคยมีความคิดว่า...การศึกษาวิชาความรู้ ยิ่งมีโอกาสเรียนได้สูงเท่าไร เรื่องความฉลาด ความสามารถในการประกอบอาชีพ คงไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในชีวิต
โดย...ว.แหวน ภาพ... อีพีเอ
ฉันเคยมีความคิดว่า...การศึกษาวิชาความรู้ ยิ่งมีโอกาสเรียนได้สูงเท่าไร เรื่องความฉลาด ความสามารถในการประกอบอาชีพ คงไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในชีวิต ทรัพย์สิน โอกาสในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ย่อมมีมากขึ้นตามลำดับ และฉันก็คิดเหมาเอาว่า น่าจะรวมไปถึงความสามารถในการแยกแยะความผิดชอบชั่วดี สามัญสำนึก ความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อคนรอบข้าง ก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในเมื่อมีการศึกษาก็น่าจะมีสติ ตัดสิน แยกแยะ กลั่นกรองได้ว่า สิ่งใดควร เหมาะสม ถูกต้อง ดีงาม ซึ่ง...ฉันคิดผิด!
หลายปีในการใช้ชีวิต ผ่านการพบเจอผู้คนหลากหลายอาชีพ ชนชั้น ทั้งที่โดยตั้งใจ โดยบังเอิญ หรือเสียมิได้ ฉันก็ได้พบคำตอบหนึ่งว่า...ไอ้คำว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” ทำไมต้องย้ำ ทำไมต้องบอก? ถ้ามันเป็นเรื่องเดียวกัน อยู่ในกันและกัน ก็คงไม่ต้องมารณรงค์ หรือปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเด็กหรอก ก็เพราะมันแยกน้ำแยกกากกันอยู่นี่ไง! มันกลายเป็นหนังคนละม้วน ความรู้ก็ส่วนหนึ่ง คุณธรรมก็ส่วนหนึ่ง ใครมีครบทั้งสองอย่าง ถือว่าพ่อแม่สอนมาดี หรือจิตใจใฝ่ดีมีสามัญสำนึก แต่เท่าที่ฉันสัมผัส คำว่า “คุณธรรม” มันไม่ได้เลือกอยู่กับคนที่มีความรู้สูงอย่างเดียว ตาสีตาสา ชาวนาตาดำๆ คนยากไร้ที่ไม่มีปัญญาเรียนสูงๆ หลายคนกลับทำในสิ่งที่น่ายกย่องกว่า “คนที่สังคมเลือกยกย่องจากวุฒิการศึกษาและหน้าที่การงาน”
ระหว่าง “ชาวบ้านที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยนักท่องเที่ยวให้ขึ้นมาจากโคลนดูด” กับ “ดอกเตอร์ดีกรีนอกตำแหน่งการงานสูงส่งแต่หลีกเลี่ยงการคืนทุนแผ่นดิน” ใครเรียน? ใครไม่ได้เรียน? วิชาความรู้ได้มาเพราะมีคนสอน ส่วนวิชาความดี ใครสอน? ถามว่า “วิชาไหนเรียนยากกว่ากัน?” การมีโอกาสได้เรียนหนังสือโดยมีคนสอนกับการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยจิตสำนึก ฉันว่าอย่างหลังน่าจะเรียนยากกว่า! เพราะไม่มีตำราสอนเป็นการประเมินด้วยตัวเอง ตั้งโจทย์เอง ตอบเอง ภูมิใจในสิ่งที่ทำเมื่อไรคือการตอบถูก รู้สึกแย่เมื่อไรคือการตอบผิด แถมวุฒิการศึกษาวิชาความดี ก็ไม่มีสถาบันไหนออกใบจบให้ ไม่สำคัญขนาดที่ว่า หน่วยงานใดๆ ก็ยังไม่มีระบุอยู่ในใบสมัคร
ในขณะที่วิชาความรู้ มีโปรไฟล์ ใบรับรอง ใบประกาศเกียรติคุณ เอาไว้แสดงความฉลาด ยาวเป็นหางว่าว คุณเรียนเยอะซะจนลืมลงเรียน “วิชาความดี” ลืมให้เวลาตัวเองในการสร้างจิตสำนึก ความรับผิดชอบ และการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ คุณมัววิ่งไปหาเป้าหมาย จนเพิกเฉยที่มา การศึกษาได้เพิ่มคนเห็นแก่ตัวขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ
และจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์อันยุ่งเหยิง เยอะอย่าง เป็นการศึกษาอย่างลับๆ ของฉัน กับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในสายตา ฉันก็ได้ข้อสรุปว่า...มนุษย์ยิ่งสูงยิ่งผยอง! มันเป็นเรื่องของธรรมชาติมนุษย์ ที่ต้องการสร้างการยอมรับ มุ่งหาหนทางสู่ความสำเร็จ การสร้างความมั่งคั่ง (เรื่องความดี มักไม่ค่อยมีวิธีพิชิต ถ้าทำหนังสือฮาวทูแนวสร้างความสำเร็จขาย น่าจะขายดีกว่าฮาวทูแนวสร้างความดี) และเมื่อเกิดความสำเร็จ มันก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ความศรัทธาอันแรงกล้าในตัวเอง ความฮึกเหิม หยิ่งผยอง ถ้าไม่รู้จักควบคุมให้อยู่ในความพอดี ก็อาจถีบตัวสูงไปถึงจุดของความเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ แพ้ไม่เป็น ล้มไม่ได้ ศักดิ์ศรีของตัวเองยิ่งใหญ่กว่าศักดิ์ศรีของคนอื่น ต่อให้ต้องเหยียบคนอื่น เพื่อให้ตัวเองสูงได้ ก็จะทำ เรากำลังนำวิชาความรู้ไปใช้เพื่อตัวเอง จะทำร้ายหรือทำลายใคร ไม่ใช่เราใจดำนะ เราแทบไม่ได้นึกถึงซะด้วยซ้ำ!
ฉันอยากถามบุคคลเหล่านั้นว่า “เขาใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร ที่ยืนอยู่บนความสำเร็จ โดยที่เหยียบอยู่บนความเดือดร้อนของผู้อื่น” มีสักแวบหนึ่งไหมที่ก้มลงไปมองข้างล่าง หรือสายตา มีไว้มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ฉันมองเห็นภาพสองภาพซ้อนกันขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่ดูเผินๆ ก็คงคล้ายกัน ภาพของคนหนึ่ง ยืนเหยียบคนอีกคนอยู่ แต่ต่างกันตรงสถานการณ์และสถานภาพ
ภาพแรก...คนหนึ่งเสียสละตัวเองให้ผู้อื่นเหยียบ เพื่อช่วยผู้นั้นให้มีชีวิตรอด
สำหรับอีกภาพ...คนหนึ่งเลือกเหยียบผู้อื่น โดยไม่ถามความเห็น เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด
สองคนนี้เรียนหนังสือมาต่างกัน เรียนวิชาต่างกัน ถ้าฉันเป็นอธิการบดี ฉันควรให้ใครจบดี?


