ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ ลูกไม่ต้องฉลาดแต่ต้องเฉลียว
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา
สมัยนี้จะมองหาเวิร์กกิ้งมัม ที่ทั้งทำงานนอกบ้านและเลี้ยงลูกไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะหาเวิร์กกิ้งมัมที่ทั้งเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัวตัวเองและครอบครัวสามี แถมยังแบ่งเวลามาทำธุรกิจผ้าพันคอของตัวเอง พ่วงด้วยการเป็นนักเขียน และเป็นวิทยากรอีก คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วันนี้เราหาเจอหนึ่งคน นั่นคือ โซอี้-ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ คุณแม่ลูกสามวัย 33 ปี
“โซอี้เป็นเวิร์กกิ้งมัมค่ะ ทำงานตั้งแต่ท้อง จนก่อนวันคลอดเลยจริงๆ โซอี้แต่งงานมา 5 ปี มีลูก 3 คน ตอนแรกตั้งใจว่าจะมี 4 คนด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ท้องที่ 3 รู้สึกว่าร่างกายเราไม่แข็งแรงเหมือนเก่า เริ่มเดินไม่ไหว เลยคุยกับสามีว่างั้นมีแค่ 3 คนก็พอ
อยากมีลูกหลายคน เพราะหวังว่าอีกหน่อยจะได้มีคนมาช่วยสานต่อธุรกิจที่บ้าน แก่ตัวไปจะได้ไม่เหงา โซอี้ไม่เคยคิดนะว่า ถ้ามีลูกแล้วจะเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ อาจเพราะเราโตมาในครอบครัวที่สอนให้ทำงานตั้งแต่เด็ก คุณพ่อโซอี้ก็สอนว่า แต่งงานแล้วอย่าหยุดทำงาน เพราะเมื่อไหร่ที่คนเราไม่ทำงาน เราก็จะไม่มีคุณค่า”
โชคดีที่ครอบครัวสามีก็มีความคิดไม่ต่างกับบ้านโซอี้ พอแต่งงานมา เธอจึงมีโอกาสเข้ามาช่วยทำธุรกิจของครอบครัวสามีด้วย โซอี้บอกว่า คนท้องไม่ใช่คนป่วย ถ้าเราดูแลตัวเองให้ดี ก็ยังทำงานได้ปกติ จะมีที่เคร่งครัดคือ การอยู่เดือนหลังคลอด ที่ต้องอยู่ให้ครบ 45 วัน ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่ได้หยุดงานจริงๆ
ปัจจุบันโซอี้เป็นคุณแม่ลูกสาม มีลูกสาวคนโตชื่อ หว่าหวา (ตุ๊กตา) อายุ 4 ขวบ ลูกชายคนรองชื่อ เหวินตี้ (ผู้ที่มีคุณธรรมเป็นพื้นฐานในใจ) อายุ 2 ขวบ และว่านลี่ (สวย) อายุ 2 เดือน หลายคนได้ยินชื่อเด็กๆทั้งสามแล้วอาจสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นชื่อจีนแท้ๆ งานนี้โซอี้เฉลยว่า เป็นความตั้งใจของอากงอาม่า (ปู่ย่า) ที่อยากให้หลานทั้ง 12 คนใช้ชื่อเล่นเป็นภาษาจีนทั้งหมด เพราะมองการณ์ไกลว่า ในอนาคตจีนจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเลยเลือกตั้งชื่อหลานด้วยชื่อภาษาจีนที่ออกเสียงไพเราะ และมีความหมายดี
“โซอี้ก็แฮปปี้นะ ลูกเรามีชื่อเล่นที่มีเสน่ห์ แตกต่างไม่เหมือนใครดี เพราะเราเองก็เป็นคนเลือกในด่านแรก ก่อนจะคัดเอาไปให้อากงอาม่าช่วยตัดสินใจอีกที”
ด้วยความที่มีลูกในวัยไล่เลี่ยกัน สิ่งสำคัญที่คุณแม่คนเก่งไม่อาจมองข้ามคือ การรักษาน้ำใจลูกคนโต โซอี้ บอกว่า ไม่อยากให้ลูกคนโตรู้สึกเหมือนว่าน้องจะมาแย่งความรักจากพ่อแม่ไป เธอจึงอาศัยวิธีพูดคุยกับลูก และทำให้รู้สึกว่าเรายังเป็นห่วงเขาเหมือนตอนที่ยังไม่มีน้อง
“เราจะบอกเขาว่า เขากำลังจะมีน้องนะ จะมีน้องมาอยู่ด้วยกันอีกคน ที่สำคัญโซอี้จะไม่ให้ลูกติดเราคนเดียว พยายามให้เขาอยู่กับใครในบ้านก็ได้ จะเป็นอากง อาม่าหรือพี่เลี้ยง บางครั้งเราซื้อของให้เขา ก็จะบอกว่าน้องซื้อให้นะ ให้เขารู้สึกว่าน้องก็เป็นฝ่ายให้เขาเหมือนกัน ไม่ได้มาแย่งอะไรไปจากใคร
อีกเรื่องที่ต้องระวังคือ การใช้คำพูดเวลาจะดุเขา อย่างถ้าเขาไปปีนหรือเล่นบนเปลน้อง แทนที่เราจะบอกว่า ให้หยุด เราอาจจะบอกเหตุผลไปด้วยว่า ที่ไม่ให้เขาปีนเปลน้องเพราะกลัวเขาจะตกลงมาเจ็บ อย่างน้อยให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้ดุ แต่เราเป็นห่วงเขา”
โซอี้ยอมรับว่า มาถึงลูกคนที่สามเลี้ยงลูกแบบสบายมากขึ้น จากท้องแรกที่เธอเลี้ยงอิงตามตำราเยอะ จนคุณแม่ก็เหนื่อยมาก ดังนั้นทางที่ดีคือ เดินตามทางสายกลาง ไม่ต้องเครียดจนเกินไป
“ตอนลูกคนแรกนี่ โซอี้ทฤษฎีแน่นมาก เปิดเพลงให้ลูกฟัง ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนจะจับลูกทุกครั้ง จนพอลูกคนที่สอง เริ่มคิดได้ และถีงเราไม่ทำอย่างนั้นลูกก็ไม่ได้ป่วย โซอี้มองว่าถ้าเราอนามัยมากไป กลับเป็นผลเสียกลับลูก ลูกอาจจะไม่มีภูมิต้านทานเลย”
ถามถึงการบริหารจัดการระหว่างงานกับครอบครัว โซอี้ บอกว่า เธอมีพี่เลี้ยงช่วยดูลูกช่วงที่ไปทำงาน แต่ตอนเย็นเธอต้องดูลูกทำการบ้าน และเข้านอน เวลาหลังจากนั้นถึงจะเป็นเวลาส่วนตัว ได้คิดงาน แต่ช่วงที่ลูกเล็กแบบนี้ ก็อาจจะลำบากหน่อย กว่าลูกจะหลับยาว คุณแม่ก็หมดพลังไปด้วย
“ด้วยความที่เราทำธุรกิจส่วนตัว จะนั่งทำงานที่บ้านก็ได้ แต่โซอี้ไม่สามารถทำงานไปด้วย แล้วก็คอยดูลูกไปด้วย เลยเลือกแยกให้ชัดเจน ทำงานคือ ทำงาน ถึงเวลาดูลูกคือดูแลเขาเต็มที่ ก่อนหน้านี้โซอี้มีปัญหาเหมือนกัน เราไม่สามารถตัดเรื่องงานได้ ช่วงนั้นโซอี้รู้สึกผิดกับลูกเหมือนกันนะ เหมือนเราดูแลเขาไม่เต็มร้อย จนตอนหลังโซอี้เจอทางออกว่า เมื่อปัญหาคือ ถ้าเราอยู่ใกล้โทรศัพท์ เราก็อดไม่ได้ต้องหยิบมาดู โซอี้เลยต้องเอาโทรศัพท์ไปไว้ที่ห้องนอน แล้วค่อยลงมาข้างล่างเพื่ออยู่กับลูกจริงๆ แบบเต็มร้อย”
ในอนาคต โซอี้ไม่ได้หวังว่าลูกต้องเรียนเก่ง หรือเป็นเด็กฉลาดมาก แต่อยากให้เขาเป็นเด็กที่รู้สึกเฉลียว ทันคน มีไหวพริบ เป็นคนดี มีจริยธรรม
“ถามว่าบ้านเรามีตีมั้ย มีแน่นอน เพราะเรารู้สึกว่ายังเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ทุกครั้งที่พ่อหรือแม่เล่นบนโหด อีกคนต้องอ่อน เข้าไปโอ๋ลูก และอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมพ่อหรือแม่ถึงโกรธ ไม่อย่างนั้นเด็กอาจจะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด แต่ครั้นจะให้คนที่ดุลูก ไปโอ๋ลูก เด็กก็จะไม่รู้สึกผิดอีก” โซอี้กล่าวทิ้งท้าย


