posttoday

ชยพล-ชมพลอย หลีระพันธ์ ‘เข้าคู่บริหาร’ หน้าร้านถึงงานครัว

30 มกราคม 2559

อีกหนึ่งธุรกิจครอบครัว ที่เตรียมเข้าสู่ยุคของรุ่นลูก“ชยพล” และ “ชมพลอย” ทายาทตระกูลหลีระพันธ์

โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล ภาพ... กิจจา อภิชนรจเรข

อีกหนึ่งธุรกิจครอบครัว ที่เตรียมเข้าสู่ยุคของรุ่นลูก“ชยพล” และ “ชมพลอย” ทายาทตระกูลหลีระพันธ์ ที่ต่างเข้ามาช่วยบริหารธุรกิจหลักร้านอาหารในเครือมัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด ของคุณแม่ (มัลลิการ์ หลีระพันธ์)เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารต่างๆ อย่าง ร้านเย็นตาโฟเครื่องทรง อ.มัลลิการ์, เรือนมัลลิการ์, ร้านอาจารย์มัลลิการ์, ปาป้า ปอนด์, ปังยิ้ม และแบรนด์คุ้มกะตังค์

ความท้าทายของเจเนอเรชั่นที่ 2 ในการสานต่อกิจการครอบครัว คือ ทำอย่างไรที่จะต่อยอดธุรกิจให้เติบโต แผ่กิ่งก้านออกไปยิ่งกว่าเดิม และขณะนี้โอกาสไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดในประเทศเท่านั้น

ถึงยุคบุกต่างประเทศ

ชยพล ได้เข้ามารับผิดชอบดูแลงานหลักในฝ่ายการตลาด และงานประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์แบรนด์องค์กร และร้านอาหารในเครือ โดยเฉพาะแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง ที่กำลังวางแผนขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ทั้งในและต่างประเทศ ที่เบื้องต้นจะเห็นความชัดเจนในการขยายกิจการสาขาในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สปป.ลาว ก่อนเป็นอันดับแรกโดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงทางธุรกิจ

“การลุกขึ้นมาปรับและขยับใหญ่ธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่เกิดขึ้น ซึ่งมองว่าจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจครอบครัวที่มีความเป็นสากล ผ่านระบบและมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจากรสชาติเมนูอาหารไทยจริงๆ ของทางร้าน” ชยพล เล่าถึงภารกิจในการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ

สำหรับแบรนด์ อ.มัลลิการ์ ได้นำร่องเข้าไปเปิดให้บริการที่ สปป.ลาว ตั้งแต่ 2 ปีก่อน ถึงขณะนี้มี 2 สาขารวมในไทยและ สปป.ลาว ส่วนเย็นตาโฟเครื่องทรงมี26 สาขา ที่บริษัทขยายการลงทุนเอง และร้านอาหารเรือนมัลลิการ์ มี 1 สาขาในสุขุมวิท 22 ที่ใช้เรือนไทยอายุกว่า 200 ปี ส่วนปาป้าปอนด์ และพิซซ่าหน้าไทยมี 2 สาขา รวมเมนูอาหารต่างๆ ของร้านในเครือทั้งหมดแล้ว มีไม่ต่ำกว่า 500 รายการ ทีเดียว

ชยพล วางแผนเตรียมปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยจะวางรูปแบบการทำงานที่มีความเป็นมืออาชีพจากเดิมที่เป็นภาพธุรกิจครอบครัว เพื่อรองรับการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาธุรกิจรูปแบบ (โมเดล) ใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งล่าสุดบริษัทได้พัฒนาโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์สำหรับแบรนด์ร้านอาหารเย็นตาโฟเครื่องทรง เพื่อขยายธุรกิจได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน

ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนแฟรนไชส์แบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง จะเป็นทั้งการให้สิทธิบริหารแต่เพียงผู้เดียวจากบริษัทแม่ (มาสเตอร์แฟรนไชส์) สำหรับในต่างประเทศและขยายธุรกิจสำหรับผู้สนใจทั่วไป (แฟรนไชซี) โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ราว 6 แสนบาท/สาขา ยังไม่รวมงบลงทุนตกแต่งอยู่ที่ 8 ล้านบาท/สาขา เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจติดต่อขอรับสิทธิดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ 2 รายใหญ่

“ในอนาคต เรามองเป้าหมายขยายธุรกิจร้านอาหารไปยังต่างประเทศที่มีโอกาส อย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งจากแผนธุรกิจและแนวทางการทำตลาดที่วางไว้คาดว่าน่าจะผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตธุรกิจต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 20%” ชยพล ขยายแผนธุรกิจนับจากนี้ให้ฟัง

นอกจากงานด้านบริหารของชยพลแล้ว อีกมุมหนึ่ง เจ้าตัวยังมีฝีมือในการทำอาหารไม่แพ้คุณแม่ โดยเฉพาะเมนูอาหารฝรั่ง ที่คิดค้นสูตรขึ้นมา ด้วยการจับส่วนผสมและวัตถุดิบอาหารต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันจนได้เป็นเมนูแปลกแสนอร่อยหลายต่อหลายจาน ซึ่งยังไม่รวมถึงเมนูขนมหวาน อย่างฮันนีโทสต์ ช็อกโกแลตลาวา ฯลฯ ของที่ร้านที่ขึ้นชื่อความหวาน หอม และแสนอร่อย ไม่แพ้ที่ใดอีกด้วย

งานหลังบ้านต้อง ‘สตรอง’

นอกจากงานหน้าร้าน ที่ถือเป็นหน้าตาและภาพลักษณ์แล้วในส่วนของงานครัวก็นับเป็นหัวใจของธุรกิจร้านอาหารที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งปัจจุบันลูกสาวคนเก่ง “ชมพลอย”เป็นผู้ดูแลและวางแผนการผลิต เพื่อป้อนวัตถุดิบให้กับเมนูอาหารต่างๆ ในแต่ละสาขาร้านในเครือ

ชมพลอย เล่าว่า ก่อนจะเข้ามาช่วยธุรกิจของที่บ้าน เธอเองได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานนอกบ้านผ่านองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านค้าปลีก ร้านอาหารรายใหญ่ราว 2-3 แห่ง จนมั่นใจฝีมือแล้วว่า สามารถนำระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานเทียบเท่าธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ข้ามชาติ มาปรับใช้กับธุรกิจของครอบครัวได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการวางระบบในฝ่ายผลิตของที่ร้านนั้น ชมพลอยยอมรับว่า ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจต่อการปรับกระบวนการทำงานใหม่หมด โดยเฉพาะในเรื่องของวัฒนธรรมภายในองค์กร ส่วนหนึ่งจากการที่บุคลากรโรงงานยึดแนวทางการปฏิบัติงานแบบนี้มานาน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ที่เรียกว่า “บิ๊กเชนจ์” ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร

“ในช่วงแรกที่ปาล์มเข้ามาวางระบบการผลิตใหม่ๆ ต้องผลักดันกันหลายเรื่องพอสมควร เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่กำลังจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา ส่วนหนึ่งจากแนวคิดของคน 2 รุ่นที่ต่างกันระหว่างคุณพ่อ คุณแม่ วิธีการทำงาน ที่ยังเคยทะเลาะกับคุณแม่ในเรื่องนี้จนร้องไห้ก็มี แต่สุดท้ายปาล์มก็ใช้เวลา หาวิธีมาพิสูจน์ได้ว่า หากนำระบบมาบริหารจัดการด้านการผลิตในโรงงานมาใช้แล้ว จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างไร ทั้งลดต้นทุนการผลิต พนักงานทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นมีของเสียลดลง สุดท้ายพนักงานฝ่ายผลิตแฮปปี้มากขึ้น จากการที่มีวันหยุดในช่วงเทศกาลสำคัญได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ผลิตตลอด 24 ชั่วโมง เหมือนแต่ก่อน” ชมพลอย เล่า

เจ้าตัวเสริมอีกว่า การเข้ามารับผิดชอบธุรกิจครอบครัวในส่วนงานหลังบ้านนั้น เป็นเรื่องที่เธอถนัดและชอบเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจไปเรียนในสาขาฟู้ด ซาย วิทยาลัยนานานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนไปต่อด้าน ฟู้ด ซัพพลายเชน ที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นได้กลับมาทำงานหาประสบการณ์นอกบ้านสักพักหนึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเตรียมความพร้อมจริงๆ เพื่อกลับมาลุยงานที่บ้านอย่างจริงจัง ตามแพลนที่วางไว้

ในฐานะที่ต้องรับรับผิดชอบงานฝ่ายผลิตทั้งหมดนั้นชมพลอย ยังเปรยถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ อย่างน้ำพริกแกงที่ทำขึ้นเอง โดยใช้วัตถุดิบทั้งหมดที่โรงงานผลิตขึ้นเอง ทั้งตัวพริก พืชสมุนไพร กะทิ ที่อย่างหลังก็ใช้มะพร้าวที่ปลูกเองเป็นหลักกว่า 99% เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารเคมีจริงๆ ที่ในอนาคตยังวางเป้าหมายไปสู่การพัฒนาส่วนผสมการปรุงอาหารไทย ไปสู่ธุรกิจร้านอาหารไร้สารเคมีแบบครบวงจรในอนาคตด้วย

ล่าสุด เครือมัลลิการ์ เตรียมใช้งบลงทุนราว 200ล้านบาท ทำโรงงานแห่งใหม่ย่านรังสิต บนพื้นที่ 6 ไร่ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตวัตถุดิบให้กับเมนูอาหารต่างๆ ในเครือ รวมถึงรองรับการขยายธุรกิจโมเดลแฟรนไชส์เย็นตาโฟเครื่อทรงในอนาคตด้วย และในกลุ่มสินค้าอาหารพร้อมทาน (เรดดี ทูอีท) อาหารแช่แข็ง (โฟรเซน ฟู้ด) เมนูต่างๆ ที่ทำตลาดภายใต้แบรนด์ อ.มัลลิการ์ ที่ทำตลาดอยู่ก่อนหน้านี้ มีตลาดส่งออกหลัก 60% อยู่ที่ญี่ปุ่น และวางแผนขยายตลาดประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม

ถือเป็นแนวทางธุรกิจที่คู่พี่น้องทายาทธุรกิจพันล้านช่วยกันคิดและลงมือบริหาร เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจครอบครัวอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้