นนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล สองล้อเปลี่ยนตัวตน
การออกเดินทางไปในที่แปลกใหม่ ค้นหาความหมายของชีวิตเรื่อยไปอย่างอิสระโดยปราศจากเงื่อนไขจุกจิก
โดย...กองทรัพย์ ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
การออกเดินทางไปในที่แปลกใหม่ ค้นหาความหมายของชีวิตเรื่อยไปอย่างอิสระโดยปราศจากเงื่อนไขจุกจิก นี่คือชีวิตในฝันที่ใครต่อใครต่างถามหา แต่มีใครบ้างที่ทำได้ แนน-นนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล อาจจะเป็นหนึ่งในคนที่มีชีวิตในแบบที่เจ้าตัวฝันหา เพราะนอกจากตอนนี้จะได้ดูแลไบค์คาเฟ่ 2 แห่ง Velodome และ Holiday แล้ว สิ่งที่เธอทำตั้งแต่ลืมตาตื่นก็คือ ปั่นจักรยานไปในทุกที่ที่อยากไปเพื่อสำรวจเส้นทางตรอกซอยในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างแผนที่จักรยาน อีกหนึ่งหน้าที่ก็คือชวนคนมาปั่น เธอบอกว่าที่ทำแบบนี้ได้ แค่ตัดสินใจออกมาปั่น
ลาออกมาปั่น
เมื่อ 8 ปีก่อน อาชีพเดิมของแนนคือพนักงานบริษัทที่ผลิตเนื้อหาป้อนสื่อดิจิทัล เกมและแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่ทำให้เธอทำงานนี้เพราะเธอชอบการ์ตูนเอามากๆ แต่เมื่อวันหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าเธอชอบจักรยานมากกว่า แนนจึงตัดสินใจลาออกเพื่อมาเป็นนักปั่นเต็มตัว
“เราอยากทำอะไรที่ตามใจตัวเอง ตอนที่อยากลาออก คนรู้จักบางคนเสียชีวิตด้วยเหตุไม่แน่นอน เราเองก็คิดว่าวันหนึ่งอาจจะเกิดกับเราก็ได้ ก็เลยอยากทำตามความฝันคือลาออกมาปั่นจักรยาน ซึ่งตอนแรกยังไม่รู้ว่าจะได้ทำอะไรต่อจากนั้นหรือเปล่าแต่ว่าออกมาปั่นก่อน ทำตามความฝันก่อน ถ้าไม่เวิร์กก็กลับไปทำงานบริษัทได้ แต่อาจจะเป็นโชคดีของแนนที่ลาออกวันนั้นคือการลาออกถาวร
“ตอนลาออกมาเพื่อปั่นจักรยาน คิดว่าเงินเก็บที่มีจะทำให้เราอยู่รอดได้กี่ปี โดยที่เราได้ทำตามความฝันตัวเอง แต่ก่อนหน้านั้นเราก็วางแผนมาระยะหนึ่ง สมัยที่ยังไม่มีเฟซบุ๊กแนนใช้ทวิตเตอร์ส่งสารไปถึงผู้คนมากมายน่าจะหลักร้อยคน ที่เราคิดว่าจะทำให้เขาลุกขึ้นมาทำเรื่องจักรยานได้ ทำแบบนี้อยู่ 1 ปี โชคดีที่พี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) บก.นิตยสารอะเดย์ ตอบรับกลับแนวคิดของเรามา การลาออกของแนนจึงไม่ว่างเปล่า”
แนนเริ่มโปรเจกต์แรกกับนิตยสารอะเดย์ เดินทางด้วยจักรยานจากเชียงใหม่ ใช้วิธีการปั่นไปหาบุคคลที่จะสัมภาษณ์ ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เธอได้เห็นเมืองด้วยจักรยาน “ใครๆ ก็อยากปั่นรอบประเทศใช่ไหม นี่คือหนึ่งในความฝันของแนน เราเริ่มต้นที่เชียงใหม่แล้วปั่นล่องลงมาใช้เวลา 45 วัน มันเลยเป็นเหตุผลที่ดีมากที่ทำให้ครอบครัวเราเห็นว่าการลาออกมาปั่นจักรยานไม่ได้ล่องลอยหรือไร้เหตุผล แต่เราลุกมาทำหนังสือฉบับหนึ่ง เพื่อทำให้คนเปลี่ยนมาใช้จักรยาน ซึ่งอะเดย์เป็นหนังสือที่วัยรุ่นอ่านค่อนข้างเยอะ ถ้าทำแล้วเกิดกระแสหรือเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้ อะเดย์อาจจะทำให้วัยรุ่นเปลี่ยนความคิดหรือรู้สึกดีกับจักรยานขึ้นมาบ้าง”
จักรยานสุดโต่ง
แนนยอมรับว่าในช่วงแรกที่เธอเคลื่อนไหวเรื่องจักรยาน ด้วยพลังที่เต็มร้อยทำให้เธอสุดโต่งเรื่องจักรยาน อะไรที่ไม่ใช่แทบจะตัดจากชีวิต และเสียงเรียกร้องของจักรยานจะไม่ผ่อนปรนนัก “สาเหตุของการออกมาปั่นของเราคือต้องการหนีรถติด และทำให้เราได้เที่ยวในเส้นทางแปลกใหม่ด้วย แล้วก็อีกอันหนึ่งที่รู้สึกก็คือถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลงอะไร หรืออยากให้อะไรมันเกิดขึ้นเราต้องเริ่มจากตัวเราเอง เราคงไปเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็เลยเริ่มที่ตัวเราเพื่อจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าการปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันมันทำได้นะ แต่ตอนแรกต้องยอมรับว่าสุดโต่งมาก ทุกอย่างต้องเป็นจักรยาน ไม่ไปเที่ยวกับครอบครัวเพราะเขานั่งรถตู้กันทั้งบ้าน ไม่ไปเจอเพื่อน เหมือนตอนเป็นวัยรุ่นเราอยากได้อะไรเราเรียกร้อง ต้องจักรยานอย่างเดียว ตอนหลังๆ ก็เริ่มคิดว่าเราต้องจัดการสมดุลชีวิตบ้าง เราต้องยอมผ่อนบ้าง”
ทัวริ่งเปลี่ยนความคิด
การใช้จักรยานตั้งแต่ลืมตาตื่นและอยู่กับจักรยานตลอดทั้งวันเปลี่ยนผู้หญิงคนนี้ไปค่อนข้างมาก จากวัยรุ่นทั่วไปที่ขับรถยนต์ไปเรียนตั้งแต่พาณิชย์ปี 1 รู้สึกเท่และสนุก จากเดิมที่ปั่นจักรยานไปทำงานวันละ 7 กม. และไปทริปต่างจังหวัดกับสมาคมจักรยานบ้าง แต่ทริปที่เปลี่ยนเธอไปเลยก็คือ 45 วัน ที่ล่องจากภาคเหนือลงมา
“การเปลี่ยนแปลงที่ได้จากการลุกมาปั่นของตัวเอง อย่างแรกคือทำให้กลายเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายขึ้น เพราะเราต้องไปนอนวัด ค้นพบว่าชีวิตไม่ต้องยาก ไม่จำเป็นต้องไปติดหรู เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องมีแบรนด์ เพราะเอาเข้าจริงๆ เราก็หยิบมาใส่อยู่ไม่กี่ตัว 45 วันเราแบกไปแค่ 5 ชุด นี่เองทำให้เราหลุดจากกรอบเดิมๆ เพราะเราได้เห็นอีกหลายมิติจากเส้นทางที่ปั่นผ่าน การเดินทางด้วยจักรยานนอกจากเราจะเห็นมุมที่รถยนต์ไม่เห็นแล้ว มันยังมีความภูมิใจในระยะทางที่เราไปถึงด้วย”
แต่ละกิโลเมตรที่ปั่นผ่านแนนบอกว่าตัวตนของเธอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละอย่าง โตขึ้น เห็นอะไรมากขึ้นและเป็นคนลึกซึ้งขึ้น “เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าของคนตัวเล็กๆ เช่น พนักงานกวาดถนน เรากล้าคุยกับคนแปลกหน้าที่ต่างจากเรา จักรยานทำลายกำแพงเหล่านี้ ทำให้เห็นมุมของเด็กไร้บ้านจากการเข้าไปเป็นครูอาสา หรือก่อนหน้านี้เคยเดินต้านเขื่อนแม่วงก์ แต่ยังไม่เคยเห็นผืนป่าตะวันตกด้วยตาตัวเอง ล่าสุดเราปั่นไปป่าตะวันตกจนเห็นของจริง สัมผัสสิ่งที่คนในแม่วงก์ทำ เห็นความทุ่มเท และพบว่ามันเจ๋งกว่าที่เคยคิด คือจากป่าหัวโล้น 20 กิโลเมตร ผู้ชายคนหนึ่งค่อยๆ ปลูก ชวนชาวบ้านปลูกจนกระทั่งมันกลับมาเขียวอีกครั้ง เขาทุ่มเทมา 20 ปีและเขายังทำต่อเนื่องเรื่อยๆ สิ่งนี้สะท้อนมาที่เราว่าเราขับเคลื่อนเรื่องจักรยานมากี่ปีเอง ต้องไม่ท้อสิ ความทุ่มเทของเขาเป็นกำลังใจกลับมาหาตัวเอง ขณะเดียวกันก็ส่งกำลังใจให้กันและกันด้วย” แนนพูดถึงทริปล่าสุดอย่างออกรส
ฝันถึงเมืองจักรยาน
สิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามาจะมีคำถามว่าเมืองไทยไม่ได้มีไบค์เลนเหมือนเมืองนอกแล้วจะออกมาปั่นกันไปทำไม คำตอบของแนนคือ ไม่เห็นจำเป็นต้องตามเมืองอื่นๆ ที่เขาทำ แต่เราควรทำให้เป็นไทยสไตล์ “เหมือนที่ไม่เคยมีใครคิดว่าคนเป็นแสนจะลุกมาปั่นจักรยาน ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าคาร์ฟรีเดย์ของเมืองใหญ่ๆ ในโลก มหกรรมปั่นจักรยานที่เกิดขึ้นด้วยความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สิ่งนี้มันเกิดจากการมีกระแสจักรยานที่มากพอและพลังยิ่งใหญ่ของคนไทย” ส่วนเรื่องความเป็นไปได้ของการเป็นเมืองจักรยาน เธอมองว่า “ความเป็นไปได้ของแนนมันจะเปลี่ยนไปทุกปี พอเราเห็นวิธีการที่เราได้ลองทำไปหลายๆ อาจจะได้คำตอบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองจักรยานแบบ Share the Road คือไม่ได้มีเลนจักรยานเฉพาะ แต่เป็นการใช้ถนนร่วมกัน สำหรับคนที่ปั่นทุกวันอย่าง
แนนก็ค้นพบว่าในตรอกซอกซอยในกรุงเทพก็มีเสน่ห์และยังใช้เป็นเส้นทางจักรยานได้ดีเหมือนกัน แต่เรายังต้องทำแผนที่เส้นทางปั่นสำหรับคนที่อยากปั่นมุดเมืองแบบเรา”
เรายิงคำถามไปว่าจากข่าวอุบัติเหตุและเสียชีวิตของนักปั่นทำให้เธอเขวและมีความคิดอยากเลิกปั่นบ้างไหม? คำตอบคือ “แนนไม่เคยมีความคิดว่าจะเลิกปั่นอาจจะมีหลอนๆ บ้างเวลามีข่าวอุบัติเหตุของคนที่เรารู้จัก แต่พอวันเวลามันผ่านไปก็กลับมาเหมือนเดิม โดยที่เจอกับตัวเองก็มีประสบการณ์อุบัติเหตุแขนหัก หัวแตกสลบไป มีไปปั่นที่ปีนังโดนกระชากกระเป๋าแล้วล้มได้แผล แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ทำให้เรากลับมาคิดว่าเรามั่นใจในตัวเองเกินไป ทำให้เราประมาท ทำให้เราเรียนรู้ว่าในต่างพื้นที่เราไม่ควรจะทำตัวใหญ่ แต่ต้องระวังตัวมากขึ้น”
“ตลอด 7-8 ปีที่ตัดสินใจออกมาปั่นจักรยาน เราพบว่าเมืองไทยน่าอยู่เพราะคนทำให้เมืองน่าอยู่ บางครั้งเราพบว่าเส้นทางที่ธรรมดาแต่พาเราไปรู้จักคนที่น่ารัก ก็เลยรู้สึกว่าน่าอยู่และน่าปั่นขึ้นมา มันทำให้เรามองมุมของเมืองเปลี่ยนไปจากที่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้เห็นความน่ารักของมันอยู่ เห็นคุณค่าของชุมชน วัดวา โบราณสถาน และผู้คนที่ผ่านเข้ามา” แนน นนลนีย์ สรุป


