posttoday

มองตะเกียบ เห็นอารยธรรม

29 พฤศจิกายน 2558

หลายปีที่แล้ว งานวันเกิดเหล่าซือวัย 30-40 ที่จีนทำเอาผมเกิดอาการ Culture Shock เล็กน้อย

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

หลายปีที่แล้ว งานวันเกิดเหล่าซือวัย 30-40 ที่จีนทำเอาผมเกิดอาการ Culture Shock เล็กน้อย เหล่าซือใช้ตะเกียบทานเค้กวันเกิดอย่างหน้าชื่นตาบาน

จากหลักฐานที่พอสืบค้นได้ พบว่า ชาวจีนใช้ตะเกียบมาแล้วอย่างน้อย 2,000 ปี ส่วนตำนานต้นกำเนิดของตะเกียบมีอยู่หลักๆ 3 ตำนาน

1.ต้าอวี่ ผู้นำยุคแรกของอารยธรรมจีน มีชื่อเสียงเรื่องความทุ่มเทในการทำงานเพื่อสังคมอย่างยิ่งยวด ก่อนหน้าที่ต้าอวี่จะถูกยกย่องเป็นผู้นำ ต้าอวี่ถูกสั่งให้แก้ปัญหาน้ำท่วมแทนพ่อของตนที่ทำไม่สำเร็จ ต้าอวี่รู้ว่าจะแก้น้ำท่วมได้ไม่ใช่การสกัดกั้นน้ำ แต่คือการระบายน้ำออกทะเลให้เร็วที่สุด จึงเร่งขุดคลองระบายน้ำกันยกใหญ่ ว่ากันว่าต้าอวี่ทุ่มเทอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 13 ปี ใน 13 ปีนั้นได้แค่เดินผ่านบ้านตัวเอง 3 ครั้ง แถมทั้ง 3 ครั้ง ไม่มีกระทั่งเวลาแวะเข้าบ้าน

ต้าอวี่เห็นงานสำคัญ ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องอื่นใด อาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จ ต้าอวี่ก็รีบจะหยิบจับเอาเข้าปาก ร้อนสิครับ เพื่อแก้ปัญหานี้ ต้าอวี่จึงเด็ดกิ่งไม้มา 2 กิ่ง ใช้คีบแทนมือหยิบซะเลย กิ่งไม้ 2 กิ่งของต้าอวี่นี้จึงกลายเป็นต้นกำเนิดตะเกียบ

2.โจ้วหวาง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง โจ้วหวางเป็นทรราชที่ทั้งเก่งและฉลาด ว่ากันว่าบันทึกชิ้นแรกที่ปรากฏเรื่องตะเกียบคือประวัติโจ้วหวาง พระองค์สั่งช่างให้ทำตะเกียบงาช้างสลักเสลางดงาม และเมื่อตะเกียบงาช้างเสร็จพระองค์จึงต้องการจานชามสวยงาม แล้วความต้องการก็ค่อยๆ ขยับขยาย อาหารต้องอร่อย โต๊ะต้องหรูหรา พระราชวังต้องวิจิตร จนโจ้วหวางก้าวเลยความพอดี ขูดรีดทำร้ายประชาชน กลายเป็นทรราช และถูกต่อต้านและล้มล้าง

3.เจียงจื่อหยา เป็นนักยุทธศาสตร์คนสำคัญของจีนในยุคราชวงศ์โจว ก่อนเจียงจื่อหยาจะก้าวเข้ามาเป็นนักยุทธศาสตร์ เจียงจื่อหยาเอาแต่นั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง เจียงจื่อหยาเอาแต่ตกปลา ฐานะยากจน ภรรยาเริ่มห่วงอนาคตตน เลยคิดวางยาฆ่าสามีเสียเลย จะได้มีโอกาสไปหาสามีใหม่เพื่ออนาคตที่สดใสกว่านี้ (ข้อเสียอย่างหนึ่งของสังคมที่เห็นการหย่าร้างเป็นเรื่องผิดร้ายแรง)

วันนั้น เจียงจื่อหยากลับบ้านมา กำลังจะหยิบชิ้นเนื้อเข้าปาก นกเทวดาบินเข้ามาจิกมือ เจียงจื่อหยาหดมือกลับ พอจะยื่นมือไปหยิบชิ้นเนื้ออีกนกเทวดาก็เข้ามาจิกอีก แล้วทำท่าจะบินออกนอกบ้าน เป็นอย่างนี้อยู่ทุกครั้ง เจียงจื่อหยาเอะใจเดินตามนกเทวดาออกไปข้างนอก นกเทวดาบินเกาะที่กิ่งไม้ บอกว่า “จงใช้สิ่งที่อยู่ใต้เท้าข้าคีบเนื้อแทนมือ” เจียงจื่อหยาจึงเด็ดกิ่งไม้ หักเป็นสองท่อน เดินกลับบ้าน คีบเนื้อ ปรากฏมีควันเขียวลอยขึ้น เจียงจื่อหยารู้ว่าภรรยาวางยาพิษ ภรรยารู้ตัวจึงรีบหนีไป

ต้นกำเนิดตะเกียบทั้งสามเป็นเพียงตำนาน คือ มีไว้เพื่อเชื่อมโยงจินตนาการเราให้เฟื่องฟู

แต่เรารู้ได้จากตำนานเหล่านี้ว่า วัฒนธรรมจีนยกย่องคนทุ่มเททำงานหนัก รังเกียจความฟุ่มเฟือย และเชื่อในโชคชะตา

แต่ถ้าจะสรุปต้นกำเนิดตะเกียบแบบวิชาการคงบอกได้เพียงว่า ตะเกียบน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นร่วมกันโดยกลุ่มชนอารยธรรมจีน หาใช่เป็นการประดิษฐ์คิดค้นของใครคนใดคนหนึ่งไม่

นอกจากจีน วัฒนธรรมตะเกียบยังแพร่หลายกันมานานแถบเอเชียตะวันออกไกล ประเทศที่ยังใช้ตะเกียบเป็นอุปกรณ์ทานอาหารหลักในทุกวันนี้ก็ยังมีญี่ปุ่นและเกาหลี

และตะเกียบ 3 ประเทศนี้ ก็มีรายละเอียดที่ต่างกันทั้งสิ้น

ตะเกียบจีนจะยาวปลายทู่ ตะเกียบญี่ปุ่นจะสั้นและปลายแหลม ส่วนตะเกียบเกาหลีจะยาวปานกลางและมักทำจากโลหะ (ปัจจุบันมักเป็นสเตนเลส)

ตะเกียบจีนยาวเพราะจีนทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะรวม กับข้าววางเรียงอยู่เต็ม จึงต้องการระยะเอื้อมพอควร ย่อมต้องการตะเกียบที่ยาวพอสมควร

ชาวจีนมีความเชื่อว่าบ้านไหนตะเกียบยิ่งยาวบ้านนั้นยิ่งรวย ความเชื่อนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงตรงที่ว่า บ้านที่ฐานะดี อาหารการกินดี โต๊ะอาหารใหญ่ อาหารวางเต็มโต๊ะ เอื้อมไกล ย่อมต้องใช้ตะเกียบยาว และยังเชื่อว่าใครจับตะเกียบใกล้ส่วนปลายด้านคีบอาหารเท่าไร ชีวิตจะลำบากยากจน

จนจริงหรือไม่ ไม่แน่ใจ แต่ถ้าใครลองจับแบบนั้นดูจะรู้ว่ามันช่างไม่สง่าและดูหงอย ถ้าจับแบบนั้นแล้วเหมือนจะตัวหด ไหล่ห่อ ไร้ราศี ระยะการจับตะเกียบที่เหมาะสม จึงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 ใน 3

ตะเกียบจีนปลายทู่ เพราะต้องการให้ใช้คีบไม่ได้ใช้จิ้ม การจิ้มอาหารด้วยตะเกียบเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก การปักตะเกียบในชามข้าวก็เช่นกัน ในสายตาของวัฒนธรรมจีน ตะเกียบมีไว้คีบ ไม่ได้มีไว้ทิ่มแทง (ถ้าไม่ได้ใช้เป็นอาวุธลับจอมยุทธ)

ตะเกียบญี่ปุ่นสั้น เพราะลักษณะการทานอาหารแบบญี่ปุ่นจะจัดอาหารเป็นสำรับของใครของมัน ตะเกียบญี่ปุ่นจึงไม่ต้องการระยะเอื้อมมาก และไม่จำเป็นต้องยาวให้ลำบาก

ปลาเป็นกับข้าวหลักของชาวญี่ปุ่น ปลายตะเกียบที่เล็กจะช่วยให้คีบก้างปลาออกจากเนื้อปลาได้สะดวก ชาวญี่ปุ่นยังถือว่าการคายอาหารออกจากปากเป็นสิ่งผิดมารยาทการทานอาหาร แต่ละคนจึงควรขจัดก้างปลาออกให้เรียบร้อยก่อนทาน ตะเกียบปลายแหลมทำมาเพื่อตอบสนองการใช้งานนี้ ขณะที่การคายก้างหรือคายเศษอาหารออกจากปากบนโต๊ะอาหารแบบจีนไม่ใช่เรื่องใหญ่

ตะเกียบจีนและญี่ปุ่นมักทำจากไม้หรือไม้ไผ่ แม้หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดได้ในปัจจุบันมักจะเหลือแต่ตะเกียบโลหะ นั่นก็เป็นเพราะว่า ไม้และไม้ไผ่ต่างย่อยสลายไปหมด

มีกรณีพิศดารที่สุสานหม่าหวางตุยสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งสุสานรักษาสภาพสิ่งของทุกอย่างไว้ข้ามกาลเวลา ขนาดสภาพศพเจ้าของสุสานยังเป็นเนื้อนิ่มๆ และในสุสานก็พบตะเกียบที่ทำจากไม้

แต่ตะเกียบเกาหลีมักทำจากโลหะ ความนิยมในการใช้โลหะ คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือของจีน ที่ของใช้มักทำจากโลหะและหนัง ซึ่งคงทน ต่อการเคลื่อนย้ายมากกว่าไม้หรือกระเบื้อง อย่างไรก็ดีการใช้โลหะก็เหมาะกับอาหารการกินแบบปิ้งย่างสไตล์เกาหลี ทำให้ล้างทำความสะอาดง่ายและไม่ไหม้ไฟ ส่วนประเด็นตะเกียบเงินใช้พิสูจน์พิษได้ เป็นแค่เรื่องเพ้อพก

วัฒนธรรมตะเกียบเกิดขึ้นในกลุ่มชน ที่เน้นการดำรงชีพด้วยการเกษตรกรรม ในสายตาวัฒนธรรมตะเกียบดั้งเดิม มีดและส้อมคืออาวุธ ไม่ควรมาอยู่บนโต๊ะอาหาร ขณะที่มีดและส้อมของวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานการดำรงชีพด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นหลัก คือความสะดวก สารพัดประโยชน์ ก่อนชาวแมนจูจะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนก็ใช้มีดและส้อม (แบบแมนจู) ภายหลังลงหลักปักฐานที่จีนแล้วชาวแมนจูจึงเริ่มใช้มีดและตะเกียบคู่กันไป

เดี๋ยวนี้ชาวจีนและชาวโลกต่างใช้ตะเกียบกันมากขึ้น แต่แค่ไม้สองแท่งเล็กๆ นี่แหละที่เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก เมื่อนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบอกว่าตะเกียบไม้แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งกำลังทำโลกเสียสมดุล เฉพาะในจีนตัวเลขการใช้ตะเกียบแบบนี้มีมากถึง 8 หมื่นล้านคู่/ปี ถ้าเอามาปูให้เต็มจัตุรัสเทียนอันเหมิน ปีหนึ่งๆ จะปูได้ถึง 363 จตุรัส ตะเกียบไม้แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยทำลายสิ่งแวดล้อม เรื่องเล็กๆ ประจำวัน กลับเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกขึ้นมาได้

มองตะเกียบแท่งเล็กๆ สองแท่ง เห็นอะไรได้อีกเยอะ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"