ความสุข ที่สะท้อนกลับได้
สวัสดีค่ะ “รภัทร แก้วมีชัย” หรือ “มิ้น สวรรยา” ค่ะ อาชีพหลักเป็นศิลปินนักร้อง อาชีพรองเป็นอาจารย์
โดย...มิ้น สวรรยา
สวัสดีค่ะ “รภัทร แก้วมีชัย” หรือ “มิ้น สวรรยา” ค่ะ อาชีพหลักเป็นศิลปินนักร้อง อาชีพรองเป็นอาจารย์ จบการศึกษาปริญญาตรีและโทจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทใบที่ 2 ด้านดนตรี จาก University of Surrey ประเทศอังกฤษ มีผลงานเพลงมากมาย โดยผลงานล่าสุด คือเพลงชื่อ ประตูวิเศษ ค่ะ
ถ้าพูดถึงความสุข สำหรับมิ้นแล้วเกิดขึ้นได้จากหลายกรณี หลายรูปแบบ แต่แบบหนึ่งที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง คือความสุขที่ได้ ณ ขณะเวลาที่เรามีสมาธิตั้งมั่นในการทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเท่าที่ประมวลตัวเองนอกเหนือจากเวลาที่ตั้งใจนั่งทำสมาธิแล้ว คือขณะที่กำลัง “ร้องเพลง” (โดยเฉพาะเวลาที่ต้องร้องเพลงต่อหน้าคนหมู่มาก ยิ่งคนมาก ยิ่งมีสมาธิ) อย่างหนึ่งที่ทำให้มั่นใจว่า เวลาร้องเพลงคือเวลาที่ตัวเองมีสมาธิที่สุด คือจะสามารถจดจำภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้น “ภายใน” ตัวเองได้ เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งความรู้สึกนึกคิด ไปจนถึงการขยับตัวของร่างกายเลยทีเดียว
หลายคนอ่านแล้วอาจสงสัยว่า “การร้องเพลง” จะทำให้คนคนหนึ่ง “มีสมาธิ” ที่สุดได้อย่างไร คำตอบที่น่าจะทำให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้น อย่างแรกเลยคือ ระบบการหายใจเวลาร้องเพลงนั้น เป็นระบบการหายใจเดียวกับการทำสมาธิ การเล่นโยคะ หรือที่เรียกว่าหายใจลึกๆ ลงไปจนสุดนั่นเอง นอกเหนือจากการใช้สมาธิเพื่อควบคุมลมหายใจแล้ว เวลาร้องเพลงมิ้นยังต้องนำสมาธิมาใช้ควบคุมน้ำหนักเสียงที่เปล่งออกไป ควบคุมความหนัก เบา สั้น ยาว ของแต่ละพยางค์ ควบคุมตัวโน้ต จังหวะ หูก็ต้องคอยฟังดนตรีที่เล่นประกอบอยู่ ต้องนึกถึงความหมายของเพลงที่เรากำลังถ่ายทอด นึกถึงเนื้อเพลงในท่อนต่อไป
เหนือสิ่งอื่นใดต้องรับผิดชอบคนดูที่กำลังฟังเราร้องเพลงอยู่ ด้วยการส่งพลังงานจากตัวเราไปให้ถึงเขา ยิ่งคนมากยิ่งต้องใช้พลังงานและสมาธิเยอะ เพื่อให้เขามีความรู้สึกอยากฟังเราต่อไป ภาษาง่ายๆ ที่ทุกคนมักได้ยิน คือ “ต้องเอาคนดูให้อยู่” ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้กับการร้องเพลงแม้เพียงท่อนเดียว นาทีเดียว ไปจนถึงการร้องเพลงต่อๆ กันเป็นชั่วโมง
ทีนี้มันมีความสุขยังไงล่ะ ในเมื่อต้องควบคุมสิ่งต่างๆ เยอะขนาดนี้ แค่สมาธิก็สุขแล้วงั้นเหรอ
ทุกครั้งที่มิ้นสอนนักเรียนที่มาเรียนร้องเพลง มิ้นจะบอกเสมอว่า “เวลาร้องเพลง ความจริงใจและการให้เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุข ส่วนความคาดหวังจะทำให้เกิดความทุกข์”
พูดง่ายๆ คือ ถ้าร้องเพลงแล้วคาดหวังอยากให้คนอื่นมาสนใจ โดยที่นักร้องไม่จริงใจกับคนดูก่อน เช่น ไม่ฝึกฝน ไม่เตรียมเสียงร้องให้ดีพอ ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่ทำ คนดูจะรู้สึกได้ว่านักร้องคนนั้นสนใจแต่ตัวเอง และไม่ได้รับความสุนทรีย์จากการแสดงนั้นเท่าที่ควร ในทางกลับกัน คนที่เตรียมตัวมาอย่างสุดความสามารถ สนใจในแก่นของสิ่งที่ทำ (ในที่นี้คือการร้องเพลง) คนดูจะดูออกว่านักร้องคนนั้นร้องเพลงออกมาจากใจ แม้จะมีข้อผิดพลาดก็ให้อภัยได้ แถมยังอยากให้กำลังใจซะอีก
นี่แหละค่ะ “ความสุข” อีกอย่างหนึ่งของการร้องเพลง มันคือการส่งความสุขจากสิ่งที่เราตั้งใจผ่านเสียงร้องไปให้คนอื่น แล้วเมื่อคนอื่นได้ยินได้ฟังก็มีความสุขไปกับสิ่งที่เราทำ ลองนึกเทียบว่าเราร้องเพลงในห้องน้ำที่บ้านแล้วได้ยินอยู่คนเดียว กับร้องเพลงให้คนอื่นฟังแล้วเขาสนุกไปกับเราด้วยสิคะ มิ้นว่าอย่างหลังสุขกว่าเยอะ
เรื่องสุดท้าย อยากพูดถึงความสุขที่มาจากการได้ร้องเพลง “ประตูวิเศษ” สักหน่อยค่ะ เพลงนี้มิ้นทำเอง แต่งเอง มีส่วนร่วมทั้งหมดทุกส่วน (ออกงบเองด้วยอีกต่างหาก) ด้วยความที่ตั้งใจมากๆ เลยทำให้มีความกดดันหลายอย่างเกิดขึ้น จนเมื่อวันที่ผลงานออกมาสู่สาธารณะ มีหลายคนมาบอกว่าเขารับรู้ได้ถึงความตั้งใจและความรู้สึกต่างๆ ที่อยู่ในเพลงของเรา
วันนั้นแหละ คือวันที่มิ้นมีความสุขที่สุด
ทีนี้คงเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไม “การร้องเพลง” จึงเป็น “ความสุข” ในชีวิตของมิ้น เพราะมันสามารถส่งความสุขจากตัวเราไปถึงคนอื่นๆ แล้วสะท้อนความสุขจากคนอื่นกลับมาหาตัวเราอีกทียังไงล่ะคะ


