จีทีเอชเขย่าวงการหนังไทย

โดย...เสน่ห์จันทน์

ศุกร์ 13 ช็อกซีนีม่าจริงๆ เมื่อค่ายหนังอันดับหนึ่งของยุค “จีทีเอช” (GTH) ประกาศปิดตัวด้วยเหตุผล “ความคิดเห็นในการบริหารงานไม่ตรงกัน” ทางบริษัท ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ อยากให้บริษัทเข้าตลาดหุ้น แต่ทาง หับ โห้ หิ้น ฟิล์ม ไม่ต้องการ เพราะคิดว่าบริษัทไม่พร้อม เลยทำให้เกิดความแตกต่างทางความคิดในการบริหารงานก็เลยตัดสินใจยุบบริษัท ส่วนเรื่องละครและรายการอื่นๆ ทางแกรมมี่ดูแลต่อ

การยุติจีทีเอชใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ต้องบอกว่าระยะเวลา 11 ปีของการรวมกันของ 3 ค่าย คือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (G) ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ (T) และ หับ โห้ หิ้น ฟิล์ม (H) นั้นยาวนานเหนือความคาดหมายและผนึกกำลังเป็นจีทีเอชได้อย่างสง่างามเสียด้วยซ้ำ

จีทีเอชสะสมบารมีจนถูกยกให้เป็นค่ายหนังที่ฝากผลงานน้ำดี ทำรายได้สูง และเป็นค่ายที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการหนังไทย เพียงแค่พะยี่ห้อจีทีเอชก็เรียกความสนใจของผู้ชมให้หันมาดูหน้าหนังแม้จะไม่คิดหรืออยากดู แต่ก็ยากที่จะหนีจากกระแสได้ การตลาดและการประชาสัมพันธ์แข็งจริงๆ

 

หากนับจำนวนปีกันแล้ว 11 ปี จีทีเอชก็ได้เพียงครึ่งหนึ่งของประสบการณ์การเสพหนังของ “ธันว์ บำรุงสุข” ทำงานข่าวสายวงการหนังไทยมาหลายสิบปี ยังเป็นนักวิจารณ์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง และได้ชื่อว่าเป็น “แฟนพันธุ์แท้หนังไทย ปี 2001” จากกรณีที่จีทีเอชปิดค่ายหนังที่เรียกว่ารุ่งสุดในยุคนี้ เขามีความคิดเห็นว่า

“ถ้าสังเกตให้ดีในแต่ละปีจีทีเอชผลิตหนังออกมาไม่กี่เรื่อง มีหนังที่ทำรายได้ถล่มทลาย แต่ก็มีหนังหลายเรื่องที่รายได้กลางๆ บางเรื่องรายได้ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับทุนสร้าง ทำให้ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา ทางค่ายต้องนำรายได้หนังที่ทำเงินมาโปะในส่วนที่ไม่ทำเงิน เพิ่งจะมาฟื้นตัวในช่วงหลังๆ ที่หนังทำรายได้ดีติดๆ กัน การแตกกันของกลุ่มจีทีเอชเป็นที่จับตามองกันมานาน ด้วยความที่ผู้บริหารเป็นสุดยอดฝีมือกัน ความคิดเห็นไม่ตรงกันจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่รายได้หนัง กำไรต้องนำมาแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้กันจริงๆ ไม่เท่าไร ผิดกับค่ายหนังอื่นๆ ที่ตัวหารไม่เยอะ รับแบบเน้นๆ หรือบุคลากรของจีทีเอชมีมาก รายจ่ายเลยเยอะตาม แต่มีงานหนังออกมาเพียงแค่ไม่กี่เรื่องต่อปี ดังนั้นถ้าแยกกัน ต่างคนต่างไป ตั้งค่ายใหม่เอง น่าจะเป็นการดี กำไรไม่ต้องแบ่งมาก ลดรายจ่ายลง เข้าทำนอง ตายแล้วเกิดใหม่ หรือเหตุผลที่แตกคอกันในทางความคิดก็เป็นธรรมดา ไทฯ มองในแง่นายทุนทำหนังไทย ถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์น่าจะเพิ่มทุนในการผลิตงานให้ออกมาดีขึ้นเพื่อเปิดตลาดทั้งในประเทศนอกประเทศได้มากขึ้น แต่ทางหับฯ คงมองในแง่การผลิตงาน อาจจะขาดความเป็นตัวเอง การเลือกปิดตัวเองในช่วงที่กำลังมาแรง เป็นค่ายหนังอันดับหนึ่งทั้งความนิยมและรายได้ คนดูรัก มีแฟนคลับมาก เป็นทางออกที่สวยงาม กลายเป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของวงการหนังไทย ที่คนดู แฟนๆ จะจดจำไปอีกนาน หรือถ้าคนในจีทีเอชจะออกไปทำอะไรย่อมได้แฟนเก่าๆ ตามไปเป็นแฟนคลับเหนียวแน่นแน่นอนไม่ต้องลุ้นกัน”

เหตุใดที่จีทีเอชขึ้นมาเป็นที่ 1 ในค่ายหนังไทย สร้างกระแสฟีเวอร์ได้ทั้งที่ใช้นักแสดงหน้าใหม่ แฟนพันธุ์แท้หนังไทยมองว่า “จีทีเอชเป็นการรวมตัวของ 3 ค่าย 3 วงการที่ทำให้เป็นค่ายที่ดูแข็งแรง มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีสื่อมีมีเดียอยู่ในมือพร้อมจะผลักดันงาน ไทฯ ค่ายหนังคลื่นลูกใหม่ที่ผลิตหนังล้ำๆ แปลกใหม่ให้วงการหนังไทยมานานเป็นค่ายที่มองการตลาดหนังไทยขาด และหับฯ มือหนึ่งมือเก๋าในวงการหนังโฆษณา ที่มาดูแลด้านผลิต ทีมผลิตดี มองการตลาดขาด มีสื่อครบวงจร กลายเป็นจุดแข็งสุดๆ ของจีทีเอช

 

ตลอดเวลา 11 ปี จีทีเอชสร้างความใหม่ให้กับวงการหนังไทยมาก ทำให้ภาพออกมาเป็นค่ายหนังของคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็จับตลาดชาวบ้านๆ ได้ด้วย ผู้กำกับคนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับพล็อตหนังแปลกๆ ใหม่ๆ เก๋ๆ การโฆษณาที่เข้าถึงคนดู ทั้งก่อนหนังเข้า ระหว่างฉาย ปลายโปรแกรม การพิถีพิถันในการสร้างงานเริ่มตั้งแต่บทหนังที่ใช้เวลานานนับปี มีทีมปรับแก้ แม้แต่หนังเสร็จยังมีการทดลองฉายให้คนหลายกลุ่มดู เพื่อแก้ไขให้โดนใจคนดู ถือเป็นจุดแข็งในแง่การตลาดที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะต่อยอด ดันนักแสดงให้แจ้งเกิดในงานชิ้นต่อๆ มาทั้งซีรี่ส์ รายการทีวี พิธีกร คอนเสิร์ต รวมทั้งการสร้างรายได้จากการขายของที่ระลึกจากหนัง ซึ่งหนังไทยยุคนี้แทบจะไม่มีใครทำ”

ด้านนักเขียนดาวรุ่ง “ปราปต์ ปรารภ” ดูหนังหลายแนวหลายค่าย ไม่ได้ผูกติดกับยี่ห้อค่าย แต่ยอมรับว่าจีทีเอชคือยี่ห้อที่ทำให้หลายคนต้องหันมาสนใจ “สำหรับผมจีทีเอชเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมแมส คืองานพยายามจับตลาดกว้าง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมคุณภาพและภาพลักษณ์ของตัวเองด้วย เสน่ห์ของหนังจีทีเอชอยู่ที่บท ยี่ห้อจีทีเอชเป็นตรารับประกันอย่างหนึ่งว่าบทของหนังที่กำลังจะได้ชมนั้นผ่านการคิดและกลั่นกรองมาอย่างดีในระดับหนึ่ง ในช่วงที่จีทีเอชพาหนังฟีลกู๊ดแนวรักวัยรุ่นประกอบเพลงเพราะๆ บูมแล้วมีคนทำตาม เราจะพบว่าต่อให้ดาราบางคนจะถูกยืมตัวมาจากจีทีเอชบ้าง โปรดักชั่นก็ดี แต่สุดท้ายมักไม่ป๊อปเท่า เพราะบทยังแข็งสู้ต้นตำรับไม่ได้ จีทีเอชปิดตัวก็รู้สึกใจหาย แต่คงไม่ถึงกับเสียดาย เพราะเชื่อว่าในที่สุดบุคลากรเก่งๆ ก็จะยังหาทางกลับมารวมตัว หรือแม้แต่แตกกอเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ต่อไปได้ มองในแง่ดี บางทีนี่อาจเป็นนิมิตหมายใหม่ที่จะทำให้คนไทยได้ดูหนังดีในแนวทางอื่นที่นอกเหนือไปจากความถนัดเดิมของจีทีเอชก็ได้ครับ พูดตามตรง ผมรอชมสิ่งนี้นะ”

 

จีทีเอช สร้างแรงบันดาลใจสู่ผู้ชมตัวเล็กๆ

เย็นวันที่ 13 พ.ย. หลังจากข่าวการปิดค่ายจีทีเอชแพร่กระจายออกไป แฟนคลับจำนวนมากต่างใจหายกับข่าวนี้ หลายเสียงแสดงความคิดกันต่างๆ นานา หากแต่ในหน้าเฟซบุ๊กชื่อ Fax Phakchayot ได้ตั้งสเตตัสว่าพี่...ผมกะจะสารภาพเรื่องนี้กับพี่เมื่อวันที่ผมจะได้เป็นผู้กำกับ GTH จนถึงวันนี้ที่ผมรู้ว่าพี่ยุติบริษัทแล้ว ผมจึงขอสารภาพพี่ไว้ตรงนี้เลยนะครับ

พร้อมกับลงรูปภาพมีคำบรรยายของเด็กคนหนึ่งในวัย 10 ขวบที่ได้ดูหนังของจีทีเอชตั้งแต่นั้นมาได้เปิดโลกใหม่ให้แก่เขา จนเขามีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในอนาคตจะเป็นผู้กำกับจีทีเอช

“แฟ็กซ์-ภัคชยศ จรัญชล” นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี เล่าถึงวินาทีก่อนตัดสินใจขึ้นสเตตัสนี้ว่า มันเหมือนภาพในหนัง บรรยากาศครึ้มไปด้วยเมฆฝน และฝนก็โปรยลงมาพร้อมข่าวร้ายว่า ค่ายหนังในดวงใจของเขาปิดตัว แม้เขาจะรู้ว่า ถึงอย่างไรพี่ๆ ก็จะมีผลงานในชื่ออื่นๆ แต่คำว่า จีทีเอช มันผูกพันกับเขา มันฝังรากลึกของจิตวิญญาณความอยากเป็นผู้กำกับไว้กับจีทีเอชที่กลายเป็นตำนาน

 

หลังจากที่เขาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พี่ๆ น้องๆในโรงเรียนได้เข้ามาให้กำลังใจ พร้อมทั้งกดไลค์และแชร์จนมีคนในจีทีเอชเข้ามาแสดงความคิดเห็นหลายคน

กลับกลายเป็นว่า พื้นที่ตรงนี้ “จุดประกายความฝัน” เป็นพื้นที่ “ให้กำลังใจกันและกัน” และ “เป็นแรงใจให้คนทำงานหนัง”Banjong Pisanthanakun “สู้ครับ ขอให้น้องฝันเป็นจริงได้เป็น ผกก. ได้ทำหนังไทยจริงๆ นะครับ โพสต์ของน้องเป็นพลังให้พี่ๆ ผกก.ทุกคนเช่นกัน”

S Khomkrit Treewimol “น้อง fax ครับ พี่เอสนะครับ ผกก.เพื่อนสนิทครับ พี่อ่านเรื่องของน้องแล้วนํ้าตาไหล รู้สึกภูมิใจแทนทุกคนที่ gth ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ น้องคือพลังของพวกพี่ครับ เรายังไม่หยุดทำหนังกันนะครับ ยังทำต่อไปเรื่อยๆรอน้องมาเป็น ผกก.ของเราครับ”

 

Chayanop Boonprakob “น้ำตาไหลด้วยคน...นี่คือรางวัลของคนทำหนังอย่างพวกพี่จริงๆ ครับ (ยิ่งกว่ารางวัลจากสถาบันไหนๆ เลย) ขอบคุณแฟ็กซ์มากๆ เคยดูหนังสั้นที่น้องส่งมาให้ดูอยู่บ่อยๆ ต่อให้น้องไม่เข้านิเทศจุฬาฯ ก็มาทำงานกับพวกเราได้แน่นอนครับ...ไม่ว่าบริษัทจะเรียกว่าอะไรก็ตาม”

Sophon Sakdaphisit “ขอบใจน้องแฟ็กซ์นะ ทุกวันนี้ที่พวกพี่ๆ ยังมีพลังในการทำหนังต่อไปก็เพราะมีคนอย่างพวกน้องนี่แหละ ต่อไปถึงจะไม่มีค่าย GTH แล้วแต่พวกพี่ยังคงรักที่จะทำหนังกันต่อไปครับ น้องเองก็อย่าเพิ่งท้อนะ รีบๆ ทำความฝันให้เป็นจริง สุดท้ายจะเป็นหนังจากค่ายไหนก็สร้างความสุขให้คนดูได้ทั้งนั้นแหละครับ...จิม GTH” Pachara Chirathivat “ถึงน้อง Fax พี่ได้อ่านแล้วดีใจมากที่โลกนี้ยังมีคนที่มุ่งมั่นและมีความศรัทธาแบบน้อง ถึงจะไม่มี GTH แล้ว แต่พี่อยากเห็นน้องได้เป็นผู้กำกับเต็มตัว ช่วยสร้างหนังไทยดีๆ ได้มาสร้างความสุขให้คนดู อย่าท้อนะน้อง สู้ๆ หวังว่าเราจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน เป็นกำลังใจให้ครับ พีช พชร”

ถึงตอนนี้สเตตัสนั้นมีคนกดไลค์และแชร์หลายหมื่นครั้งแฟ็กซ์กลายเป็นดังในโซเชียลเพียงข้ามคืน ไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาโพสต์ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังจีทีเอช แต่ด้วยผลงานหนังสั้นของแฟ็กซ์ที่เขาลงมือเขียนบท ถ่ายทำเอง ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ

 

“ผมไม่รู้จะพูดยังไง เอาจริงๆ ตอนนี้ผมงง ผมไม่รู้ไม่คิดว่าคนจะรู้จักผมจากโพสต์นั้น ผมตื่นมาเห็นโพสต์ตัวเองถูกแชร์ออกไปก็ตกใจ ตอนนั้นที่ผมโพสต์คือมันเป็นความรู้สึกแย่มาก ผมกะโพสต์แค่ว่าไว้อาลัยตัวเอง ผมมีเพื่อนที่ทำหนังสั้นประกวดเยอะ ผมอยากแชร์ว่าผมมีแรงบันดาลใจจากตรงนี้ วันนั้นผมเสียใจมาก คนเข้าใจผมก็น้อยว่าทำไมต้องเสียใจขนาดนี้ คือคนที่เข้าใจผมจริงๆ โดยไม่ต้องอธิบาย คือ พ่อแม่ พี่สาว นักแสดงในกลุ่ม”

แฟ็กซ์ใช้คำว่า “คลั่งไคล้” หนังจีทีเอชมาก เรื่องหนึ่งดูหลายรอบ แต่ที่ดูมากสุดถึง 50 รอบ คือ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ “มีคำถามที่ผมตอบตัวเองไม่เคยได้ คือให้จัด 5 อันดับหนังที่ผมชอบมากที่สุด ถึงตอนนี้ผมก็ยังจัดอันดับให้ไม่ได้ เพราะผมชอบทุกเรื่องจริงๆ”

แฟ็กซ์เริ่มถ่ายหนังสั้น มิวสิควิดีโอ ตอนอยู่ ป.5 ตอนนั้นเขาอายุ 10 ปี และเริ่มมีชื่อกลุ่มทำหนังสั้น ชื่อ “Faxflimiling” ตอนอายุ 14 ปี เริ่มส่งหนังสั้นประกวดตามเทศกาล และสามารถคว้ามาครองได้หลายรางวัล รางวัลช้างเผือกพิเศษ รางวัลขวัญใจมหาชน จากเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 18 รางวัลที่ 2 โครงการเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นอาทิ

 

ข้อความทั้งไทม์ไลน์และข้อความส่วนตัวที่พี่ๆ จากจีทีเอชส่งหาแฟ็กซ์ เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่หนุนให้เขามีพลังที่จะมุ่งมั่นในเส้นทางทำหนังต่อไป “ผมมาไกลจากจุดที่ผมอยู่มากผมทำตอนแรกคิดแค่ว่าเราจะโตไปกับพี่เขา สักวันหนึ่งพี่เขาจะเห็นเราพาเราเข้าไปร่วมงาน เราไม่มีหยุดทำ ทำมันเพลินจนไม่รู้ตัว พอมารู้ว่าไม่มีเขาแล้วมันจุกมากเลย ถึงตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้าง กำลังใจมันก็มา มีคนส่งข้อความมาหาเยอะมาก ผมเข้าใจว่าเรื่องธุรกิจมันต้องแยก ผมรู้ว่าเดี๋ยวก็ผุดอะไรใหม่ แต่ความทรงจำผมอยู่กับ 11 ปีนั้น ผมรู้ว่าทีมงานไม่ตาย แต่ความผูกพันชื่อจีทีเอชมันฝังลึกมาก ผมรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่แค่ความฝันมันคือความศรัทธา พี่ๆ เขาบอกว่ามาร่วมงานกัน ผมแคปเอาไปติดผนังเอาไว้ดูเวลาที่เราท้อ สักวันหนึ่งเราจะไปจุดนั้น อยากไปร่วมงานกับพี่เขาให้ได้”

ถึงจะไม่มีจีทีเอชอีกต่อไปแล้ว แต่ค่ายหนังจีทีเอชได้ให้แรงบันดาลใจกับเด็กรุ่นใหม่ที่จะก้าวมาสู่วงอุตสาหกรรมหนังไทยต่อไป

แฟ็กซ์ขอบอกทิ้งท้ายว่า “ขอบคุณจีทีเอช ถ้าไม่มีจีทีเอชหรือถ้าเขาเลิกทำไปนานแล้ว ผมคงไม่ได้ทำหนังสั้น ไม่ได้ส่งไปประกวด ผมจะไม่รู้เลยว่าตัวตนผมเป็นยังไง ขอบคุณพี่ๆจีทีเอชมาก ถ้าไม่มีพี่ ไม่มีผมตอนนี้ครับ”