วิธีทำสมาธิเบื้องต้น (จบ)
คำนมัสการพระบรมธาตุ พระอรหันต์ธาตุ และพระพุทธรูป ซึ่งเป็นวัตถุที่พุทธบริษัทเคารพสักการะทั่วๆ ไปเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ท่านทั้งหลาย
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
คำนมัสการพระบรมธาตุ พระอรหันต์ธาตุ และพระพุทธรูป ซึ่งเป็นวัตถุที่พุทธบริษัทเคารพสักการะทั่วๆ ไปเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ท่านทั้งหลาย
กราบ 3 หนแล้วให้ว่า นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 หน) แล้วว่าไตรสรณคมน์ โดยย่อดังนี้
(1) พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ.
(2) รตนัตตเย ปมาเทน ทวารตเยน กตัง สัพพัง อปราธัง ขมตุ เม ภันเต.
(3) วันทามิ ภันเต เจติยัง สัพพัง สัพพัตถฐาเน สุปติฏฐิตัง สาริรังกธาตุง มหาโพธิง พุทธรูปัง สักการัง ตัตถ, อหัง วันทามิ ธาตุโย อหัง วันทามิ ธาตุโส อิจเจตัง รตนัตตยัง อหัง วันทามิ สัพพทา.
(4) พุทธปูชา มหาเตชะวันโต ธัมมปูชา มหัปปัญโญ สังฆปูชา มหาโภควโห.
พุทธัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ.
ธังมัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ.
สังฆัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ.
จบแล้วกราบสามหน
(5) คาถาประจำองค์พระที่ติดอยู่กับตนเอง ควรว่าคาถานี้ท่องสวดประจำตัวจะดีมาก ดังนี้คือ
อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นมามิหัง (นึก 3-7 ครั้ง) หรือ สวดมนต์ประจำทุกๆ วัน ก่อนเวลาเข้านอนได้ ยิ่งดี
ผู้ที่ได้รับโอวาทจากพระอาจารย์แต้ม เมื่อได้ปฏิบัติตามโอวาท ก็ได้คุณตามนี้
1.อธิษฐานจิตตามเจตนาที่จะให้สติสัมปชัญญะ ตั้งมั่นคอยระวังรักษาให้จิตอยู่กับลมตามเจตนา คอยกั้นนิวรณ์ คือ อารมณ์ต่างๆ ซึ่งจะมาตัดกำลังของสมาธิให้เสียไป เป็นสติสัมโพชฌงค์ (สติ)
2.เมื่อลมนั้นบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว ขยายลมที่บริสุทธิ์ออกไปรักษาร่างกายให้ทั่วตัว เมื่อร่างกายได้ลมที่บริสุทธิ์แล้ว กายก็จักบริสุทธิ์ วาจาและใจก็จะบริสุทธิ์ไปด้วย ตอนนี้เป็นสุขเวทนา หรือจะต้องการให้ลมไปรักษาร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง มากหรือน้อย หนักหรือเบา หยาบหรือละเอียด ก็ให้เป็นไปได้ตามประสงค์ เป็นธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ (เลือกเฟ้นธรรม)
3.การประคองรักษาลมไว้ไม่ให้ส่ายไปหาอารมณ์ ไม่ให้ขาดอธิษฐานที่ได้เจตนาไว้ ไม่ท้อถอยต่อความเหนื่อยยากลำบากกาย ตั้งหน้าฝ่าฟันต่ออุปสรรคทุกทาง ไม่ (อาลัยต่อชีวิต (คือลมเหนียว) เป็นวิริยะสัมโพชฌงค์ ความเพียร)
4.เมื่อ 3 องค์ในเบื้องต้น บริสุทธิบริบูรณ์ดีแล้ว เกิดความสว่างไสว ความอิ่ม ความเต็ม ความแน่น (คือลมเต็ม) ลมเต็มในที่นี้หมายถึงลมวิชชา คือ ลมที่อยู่ในความควบคุมของสติ เป็นลมที่ไม่ก่อภพสร้างชาติ เป็นปีติสัมโพชฌงค์ (ความอิ่มกายอิ่มใจ)
5.เมื่อจิตอยู่กับลมเต็มแล้วก็ไม่หวั่นไหว ไม่โยกคลอนไปตามอารมณ์ที่ผ่านมา มีหูได้ยินเสียงเป็นต้น เวทนาก็คงมีความรู้สึก แต่เวทนาในตอนนี้ไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ คงรู้เพียงสักแต่ว่ารู้ เป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (สงบกายสงบอารมณ์)
6.เมื่อจิตแน่วแน่สว่างไสวเต็มแล้วทุกอย่าง วิชชาก็จักเกิดขึ้นในที่นั้น คือ ทั้งรู้ทั้งเห็นในภาวะที่เป็นมาอย่างไร ไปอย่างไร จักรู้ได้โดยชัดเจน ตลอดจนรู้จักกรรมและผลของกรรม ทั้งในตนและผู้อื่น เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ (ความตั้งจิตมั่น)
7.เมื่อจิตดำเนินมาตั้งแต่องค์ที่ 1 ถึงที่ 6 แล้ว ก็วางเฉยเป็นกลางอยู่อย่างสบายกว้างขวาง ไม่ยึดนิมิต ไม่ยึดอารมณ์อะไรทั้งสิ้น เป็นอุเปกขาสัมโพชฌงค์ (ความวางเฉย)
สรุปแล้วองค์คุณทั้ง 7 ประการนั้น เมื่อได้ทราบเนื้อความและได้ดำเนินจิตตามโดยบริบูรณ์เต็มที่แล้ว
องค์ทั้ง 7 นี้ก็จะเกิดรวมในที่เดียว ขณะเดียวกันที่ท่านทำลมโพชฌงค์นี้ เพื่อระงับเวทนาที่มีอยู่ เพราะเวทนาเป็นตัวนิวรณ์ นิวรณ์เป็นลมอวิชชา คือ ลมมืด เปรียบเหมือนเราอยู่ในที่มืด ย่อมมองไม่เห็นตัวและผู้อื่น เพราะเท่ากับหมักดองอยู่กับอาสวะกิเลส เต็มไปด้วยเหตุปัจจัย นี้เป็นลมธรรมดา ที่ปราศจากการควบคุม ก็เป็นลมเต็มเหมือนกัน แต่เต็มไปด้วยความืด เป็นผู้ตัดหนทางและปิดทางอย่างสำคัญที่สุด
เมื่อกำจัดนิวรณ์เสียได้ จิตจึงจะผ่องแผ้วสว่างไสว เห็นแจ้งในธรรมทั้งเหตุทั้งผล เพื่อจะได้ตัดกรรมซึ่งได้สร้างสมมาแล้วแต่ปางก่อน และระงับการสร้างกรรมในปัจจุบันไม่ให้สืบต่อไปได้อีก


