ขี่วาฬ จับรถไฟ หาหัวใจภูสิงห์
วาฬอะไรจะไปอยู่บนเขา แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยืนยันว่ามันมากันเป็นครอบครัว เหตุที่สัปดาห์นี้ยังอยู่บึงกาฬก็เพราะเรื่องนี้
โดย...กาญจน์ อายุ
วาฬอะไรจะไปอยู่บนเขา แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยืนยันว่ามันมากันเป็นครอบครัว เหตุที่สัปดาห์นี้ยังอยู่บึงกาฬก็เพราะเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่หรือเปล่าแต่มันเกี่ยวกับวาฬ 3 ตัวที่ไปเกยตื้นอยู่บน ภูสิงห์
ภูสิงห์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู จ.บึงกาฬ ถ้าสโคปให้เล็กลงมามันจะอยู่ในป่าภูสิงห์ซึ่งป่ามีพื้นที่ประมาณ 1.2 หมื่นไร่ มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้มีผาหิน ถ้ำ และหินประหลาดมากมาย
พี่ทรัพย์สิน จงดี นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าศูนย์จัดการกลุ่มป่าสงวนแห่งชาติที่ 154 เล่าว่า หินที่นี่มีอายุ 75 ล้านปีขึ้นไป (จากการศึกษาของนักธรณีวิทยา) ซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษาทางธรณีวิทยาของทั้งภูมิภาค ส่วนสภาพป่ามี 4 ประเภท ทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าละเมาะเขา ด้วยขนาดพื้นที่ป่าภูสิงห์ที่ไม่ใหญ่มากนักและมีผาหินจำนวนมากทำให้พบสัตว์ป่าจำพวกลิง ไก่ฟ้า กระรอก กระแต ไม่พบสัตว์ใหญ่ นอกจากนี้ก่อนหน้าที่จะประกาศเป็นเขตป่าสงวน เคยมีวัดบนเขาซึ่งปัจจุบันพระสงฆ์ได้ย้ายลงมายังวัดบริเวณตีนดอยแล้ว
“ตามกฎหมายป่าไม้และกฎของเขตป่าสงวนแห่งชาติ ระบุไว้ว่า ป่าสงวนไม่สามารถเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวได้ เราจึงเรียกพื้นที่นี้ว่า ห้องเรียนธรรมชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาชมธรรมชาติอันสวยงาม เข้ามาเรียนรู้ป่าไม้ ระบบนิเวศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภูสิงห์เป็นสิ่งใหม่กำลังอยู่ในกระบวนการปรับให้ได้มาตรฐานทั้งป้ายบอกทาง เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชัดเจน แต่ภาพในอินเทอร์เน็ตมันแพร่ไปเร็วมากทำให้คนคาดหวังว่าภูสิงห์ต้องดี ต้องสวย กลายเป็นว่าเรากลัวคนจะผิดหวังพอมาเห็นของจริง” พี่ทรัพย์สิน กล่าว
ดังนั้น ข้อแรก อย่าเพิ่งคาดหวังว่าภูสิงห์จะสะดวกสบายเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะภูสิงห์คือป่าสงวนที่ต้องคิดถึงธรรมชาติก่อนสิ่งอื่น สอง วัตถุประสงค์หลักคือห้องเรียนของประชาชน แต่เรื่องเที่ยวเป็นผลพลอยได้เหมือนกับการไปทัศนศึกษาสมัยเรียน และสาม ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าเพื่อพูดคุยเรื่องกฎระเบียบก่อนเข้าพื้นที่ ทั้งนี้สามารถนำรถกระบะหรือรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไปเองได้ถ้ายอมรับข้อตกลงเหล่านี้
วันนั้นรบกวนเจ้าหน้าที่ป่าไม้พาขึ้นไปตระเวน แต่ยังไม่ทันถามว่าทางไปยากไหม ก็พอเดาได้จากสภาพรถว่าไม่ง่ายแน่ เส้นทางเริ่มต้นที่ลานธรรมอยู่ใกล้ๆ วัด จุดนี้เป็นต้นกำเนิดคำว่า ภูสิงห์ เพราะมีหินทรายแดงขนาดใหญ่คล้ายสิงโตหมอบ และเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระสิงห์ ช่วงวันสำคัญทางศาสนาลานนี้จะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนมาปฏิบัติธรรมและใช้เป็นลานสวดมนต์ คนที่จะขึ้นภูสิงห์ก็ต้องแวะจุดนี้ก่อนทุกครั้ง
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่อาสามาเป็นไกด์ชั่วคราวให้ข้อมูลว่า บนภูสิงห์มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สมัยที่มีการสู้รบระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาล หรือประมาณ 40 ปีที่แล้ว เป็นการเล่าสู่กันฟังจากพ่อของเขาอีกทีว่า เคยมีคนกว่า 500 คนอาศัยถ้ำเพื่อหลบภัยและเป็นฐานทัพ เวลาปืนใหญ่ฝั่ง อ.ศรีวิไล ยิงมาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งรัฐส่งไส้ศึกเข้าไปสอดแนมจึงรู้ทันแล้วปล่อยระเบิดมาถล่มถ้ำแทน ครั้งนั้นมีคนตายจำนวนมากแต่ศึกก็จบลงเพราะการเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย เขายังกล่าวติดตลกด้วยว่าผืนนาที่รัฐบาลสัญญาว่าจะให้หลังสงบศึกป่านนี้ยังไม่มีใครได้รับ ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าพ่อแกพูดเล่นหรือเอาเรื่องจริงพูดเล่นกันแน่
หลักฐานของการสู้รบเห็นชัดในถ้ำใหญ่ เป็นถ้ำโล่งจุได้ถึง 500 คน ภายในอากาศถ่ายเทสะดวก ยังมีร่องรอยของห้องปฐมพยาบาล ที่หลบภัย และอักษรจารึกฝ่ายทหารหลังยึดพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นจุดเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยก่อนกลับไปสู่ทางวิบากมุ่งหน้าสู่หินสามวาฬ
ใครเพิ่งกินข้าวอิ่มไม่แนะนำให้ขึ้นภูสิงห์ เพราะคำว่าวิบากไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่คือสภาพจริง ถนนเป็นทางดินลูกรังผสมหินกรวด บางช่วงน้ำขัง ดินอ่อน รถติดหล่ม ดินถูกดีดกระจายไปถึงยอดไม้ คนนั่งอยู่ในรถถ้าเกาะไม่ดีอาจมีกลิ้ง ส่วนคนนั่งท้ายกระบะไม่ต้องพูดถึง ถ้าใครมือไม่เหนียวอาจกระเด็นไปอยู่กับลูกรัง แต่ความวิบากมันกลับสนุก แปลกไหมที่ไม่มีใครบ่นแต่กลับหัวเราะที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนและกระดูกกระเดี้ยวเริ่มไม่เข้าที่
หนทางกว่าจะถึงหินสามวาฬต้องผ่านหลายด่านมีจุดแวะที่หินฟีฟ่า หินหัวช้าง เมื่อถึงที่หมายพี่เจ้าหน้าที่เดินนำเข้าไปในป่า ต้องเรียกว่าเป็นทางเดินของไก่ฟ้ามากกว่าทางคน ต้องก้าวขายาวๆ สูงๆ ให้พ้นต้นหญ้าแต่ก็เพียงสัก 50 ก้าวเท่านั้นก็ถึงทางออก แล้วคนนำทางก็หันหลังมาบอก “เรากำลังยืนบนหลังวาฬ”
ลานหินที่ยืนอยู่นั้นมองยังไงก็ไม่รู้ว่าเป็นวาฬ จนกว่าจะเดินออกไปตรงผาแล้วมองไปยังหินข้างๆ ซึ่งแวบแรกที่เห็นถึงกับอุทาน “แม่เจ้า วาฬตัวจริง” นับได้มีสามตัว สามไซส์ เรียงกันเป็นพ่อแม่ลูกดังคำเล่าขานของพี่เจ้าหน้าที่ ต้องอธิบายก่อนว่ามันไม่ใช่ฟอสซิลวาฬดึกดำบรรพ์ แต่มันคือกลุ่มหินขนาดมหึมายื่นออกไปจากภูเขา ลักษณะโหนกเหมือนหลังสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ดีที่มันไม่มีหางถ้าอย่างนั้นคงต้องเรียกนักชีววิทยาแทนนักธรณีฯ
วิวจากหินสามวาฬมองไกลไปถึงแม่น้ำโขงจรดฝั่งเมืองปากซัน ประเทศลาว และพื้นที่ปลูกยางพาราที่บึงกาฬปลูกมากที่สุดในอีสาน ถือว่าวิวดี ลมดี อากาศดี แต่ยังทอดอารมณ์ไม่ถึงไหน พี่เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าเดินทางต่อดีไหม เพราะจุดหมายถัดไปยังอีกไกลอยากไปให้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตก
วันนี้กระบะคันเก่าทำงานไม่มีอิดออด พี่เจ้าหน้าที่แอบบอกว่า ขับไปยังเสียวไปเพราะมันผ่านมาหลายสมรภูมิจนต้องเกษียณแล้ว แต่ก็ยังพาไปถึงจุดหมายต่อไปที่ส้างร้อยบ่อ
คำว่า ส้าง เป็นภาษาอีสานแปลว่า บ่อน้ำ ส้างร้อยบ่อก็คือบริเวณที่มีหลุมบ่อจำนวนมาก จากจุดนี้จะมองเห็นหนองกุดทิง ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ และหินพระพุทธรูป (ชอบการตั้งชื่อหินของที่นี่) พี่เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูกองหินข้างๆ “นั่นมวยผม ติ่งหู ใบหน้า จมูก ปาก เห็นไหมว่าเหมือนอะไร” เห็นดังนั้นก็ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ เพราะธรรมชาติกัดกร่อนหินก้อนนี้ได้เหมือนช่างปั้นพระเสียเหลือเกิน
“นั่นอีก หัวใจตกร่อง” ตอนแรกฟังเป็นมะม่วงอกร่อง “ต้องเดินมาดูมุมนี้ เหมือนหัวใจไหม” ขยับตัวตามพี่เจ้าหน้าที่ พอได้องศาถึงกับหลุดปากอุทานอีกครั้ง “แม่เจ้า หินก็มีหัวใจ” มันเป็นก้อนหินทรงหัวใจที่คนชอบวาดกัน ค้างเติ่งอยู่ระหว่างหินสองก้อน ช่างอยู่ถูกที่ถูกจังหวะและทำให้ภูสิงห์ดูโรแมนติกขึ้นมาทันที
รู้สึกได้ว่าพี่เจ้าหน้าที่สนุกกับการโชว์ความแปลกเหล่านี้ ซึ่งไฮไลต์สุดท้ายอยู่เหนือสุดของเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เขาจึงหันมาถามเพื่อนร่วมทางก่อนว่า ยังโยกต่อไหวไหม ถ้ารถไหวคนก็ไหว ตอบไปดังนั้นพี่เจ้าหน้าที่จึงหักเข้าเกียร์โฟร์วีล เหยียบคันเร่งสุดพลังสู้กับทางที่ยากเข็ญกว่าที่ผ่านมา เพราะถนนยังไม่ถูกเกลี่ยหิน ทั้งลื่น ทั้งคม ทั้งชัน จึงต้องใช้ทักษะขับรถที่ชำนาญ แต่ก็เป็นเพียงระยะกิโล กว่าก็ถึงจุดหมายที่หินรถไฟ
กองหินรถไฟชมได้จากมุมไกลเท่านั้น เพราะมันอยู่บนเขาอีกลูกที่ยังไม่ได้ทำเป็นเส้นทางรถ ลักษณะเป็นก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมเรียงตัวกัน โดยก้อนแรกสุดมีก้อนหินกลมๆ วางอยู่ข้างบน ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาคือ การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องมาดูให้เห็นกับตาว่ามันเป็นขบวนรถไฟหัวรถจักรโบราณหรือเปล่า เพราะหินแต่ละก้อนนั้นเหมือนโบกี้ หินกลมๆ เหมือนปล่องไอน้ำ และก้อนเมฆบนท้องฟ้าเหมือนไอน้ำที่พ่นออกมา ทำให้จินตนาการเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากชื่อของมัน ช่วงที่ไปพระอาทิตย์อยู่หลังกองหินพอดีทำให้เห็นเป็นภาพย้อนแสงของขบวนรถไฟสายภูสิงห์
ดูท่าอีกไม่นานตะวันจะลับขอบฟ้า แต่แทนที่พี่เจ้าหน้าที่จะเรียกขึ้นรถกลับเรียกไปดู ขัวหิน ต้องเดินเข้าป่าผ่านน้ำตกไปประมาณ 500 ม. จึงไปถึงขัวหรือสะพานหิน มันคือสะพานจริงๆ เพราะด้านใต้เป็นช่อง เชื่อมระหว่างพื้นหินสองฝั่ง ตอนแรกทุกคนเลือกยืนมองมันอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เจ้าหน้าที่รบเร้าให้เดินเข้าป่าไปอีกหน่อยให้ลองเดินบนสะพาน และเมื่อทุกคนได้เสียวบนสะพานหินครบหมดแล้วเหมือนมิชชั่นของพี่เจ้าหน้าที่ลุล่วง เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วบอกกับทุกคนว่า “กลับครับ” ถ้าฟังไม่ผิดตอนนั้นไม่มีใครขออยู่ต่อแต่อย่างไร แต่ได้ยินเสียงครืนๆ ออกมาจากท้องทุกคน
สำหรับขากลับไม่มีแวะแล้วเพราะต้องทำเวลาให้ถึงตีนดอยก่อนฟ้ามืด จึงมีเวลานั่งคิดย้อนกลับไปว่า วันนี้อยู่บนภูสิงห์เกือบ 10 ชม. ใช้เวลาอยู่บนหินและมองวิวเป็นส่วนใหญ่ ถึงตอนนี้ความรู้เรื่อง
ธรณีวิทยายังเท่าหางอึ่งแต่โลกทัศน์เรื่องธรรมชาติกว้างขึ้นแล้ว แล้วพลันคิดถึงคำพูดของพี่ทรัพย์สินที่ว่า ภูสิงห์ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ถ้าแบบนั้นพี่เจ้าหน้าที่ที่กำลังขับรถอยู่นี้ก็คงเป็นอาจารย์แล้วหินพวกนั้นก็เป็นโต๊ะเรียน คราวหน้ากลับมาคงต้องให้เหตุผลว่า มาคืนสู่เหย้าหรือไม่ก็กลับมาไหว้ ครูเด่น-กิติชัย สัตตราช ผู้ไม่ยอมให้กลับบ้านจนกว่าจะข้ามสะพานหินสำเร็จ...ขอบคุณอาจารย์
ผู้ที่สนใจศึกษาในห้องเรียนธรรมชาติภูสิงห์ ติดต่อ พี่ทรัพย์สิน จงดี โทร. 08-8563-8853


