คนบ้างานก็เที่ยวเป็น วสุพล เกรียงประภากิจ
คนบ้างานอย่าง มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกวง เท็น ทู ทเวลฟ์ (Ten to Twelve)
โดย...
คนบ้างานอย่าง มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกวง เท็น ทู ทเวลฟ์ (Ten to Twelve) แต่ยังเป็นผู้กำกับโฆษณา มิวสิควิดีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งฝิ่น โค-เวิร์กกิ้ง สเปซ บรรดางานที่ต้องใช้สมองทั้งซ้ายขวา แต่เขาก็ยังมี Vacation Time เป็นอีกพาร์ตของชีวิต
โลกขนาน
มอร์เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตเราไม่สามารถทำอะไรอย่างเดียวได้” เขาจึงเลือกที่จะทำงานหลายอย่างทั้งที่ต้องใช้เหตุผลและอารมณ์
“ทั้งงานกำกับและนักร้องมันต้องใช้เหตุผลในการทำงานเหมือนกันต่างกันตรงที่การเป็นนักร้องมันได้แสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาแต่ภาพยนตร์เราต้องยืมร่างกายคนอื่นแสดงสิ่งที่อยู่ในสมองเรา ซึ่งงานทั้งสองอย่างเป็นงานที่ชอบ ไม่สามารถสละอันไหนไปได้เลยต้องสละวันหยุดแทน”
วงเท็น ทู ทเวลฟ์ รวมตัวกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย แต่ออกซิงเกิ้ลแรกตอนเกือบจบมหาวิทยาลัย หน้าที่ในวงจะรับผิดชอบเนื้อร้อง ทำนอง ส่วนการเรียบเรียงจะให้คนอื่นในวงทำ เขาพูดถึงการแต่งเพลงว่า “ถ้าไม่มีอะไรในสมองเลย การแต่งเพลงจะยากมาก แต่ถ้าเรามีเรื่องราวมีความรู้สึก มันจะง่ายขึ้น เพราะมันคือวิธีการระบายออกอย่างหนึ่ง”
อย่างซิงเกิ้ลล่าสุด เพลงไม่มีที่มา มิวสิควิดีโอได้ถ่ายทอดความรู้สึกของหมาจรจัดเสมือนว่ามันโดดเดี่ยวอยู่กลางอวกาศ ซึ่งเขากล้าพูดเลยว่า ไม่ได้ทำเอง “ผมเห็นภาพตอนเขียนชัดเกินไปแล้ว ถ้าผมทำเอ็มวีมันก็จะซ้ำคำและมันก็จะไม่ค่อยน่าสนใจ ก็เลยนำไปให้คนอื่นตีความอีกทีหนึ่ง ซึ่งพี่ยอร์ช (ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์) เขาตีความได้น่าสนใจมาก”
ส่วนงานโฆษณายังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ โดยที่คนดูอาจไม่ทราบว่ามาจากฝีมือนักร้องคนนี้ (ติดตามได้ทางอินสตาแกรมของมอร์ @morvasu) และเร็วๆ นี้เขายังจะได้โชว์ฝีมือกำกับมิวสิควิดีโอให้กับวงร็อกแถวหน้าของเมืองไทยด้วย
มอร์ทำงานตลอด 7 วัน ซึ่งหากเรียกว่าเป็นคนบ้างานก็ไม่ผิด เขายังกล่าวติดตลกว่า ตอนนี้ความฝันสูงสุด คือ การพักอยู่บ้านหนึ่งวันเต็มๆ แต่การอยู่เฉยๆ เกิดขึ้นกับเขาได้ไม่นานเพราะตัวเองจะรู้สึกเบื่อเสียเอง
ทั้งนี้ การใช้ร่างกายอย่างหนัก ทำให้เขาเคยทรุดถึงขั้นร้องเพลงไม่ได้มาแล้ว ทำให้ตอนนั้นต้องตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ แล้วหันมาทำอัลบั้มอย่างเดียว พร้อมกับเริ่มออกกำลังกาย “ตอนนี้ก็ยัง
บ้างานเหมือนเดิม แต่ทำเท่าที่ทำได้” เขา กล่าว
วิถีคนกระจอก
อีกหนึ่งบทบาทที่มอร์เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ คือ เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ โดยบอกเล่าผ่านความกระจอกของตัวเอง
“ผมในวัยเท่านี้ (อายุ 28 ปี) มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาโชว์ว่านี่ไงคืองานที่ฉันทำ เจ๋งไหมล่ะ เพราะเรายังรู้สึกว่าเรายังอยู่ระหว่างทาง ก็เลยอยากแชร์พาร์ตตอนเราเป็นเด็ก พาร์ตรูซเซอร์ของเรา เพราะผมโตมาจากการเป็นเด็กที่ธรรมดาที่สุด เป็นเด็กกลางห้องที่ไม่เก๋าที่สุดและไม่อ่อนที่สุดในห้องเรียน จึงรู้สึกว่าตัวเองคือคนกระจอกที่ไร้ตัวตน แต่ความธรรมดานี่แหละ มันคือข้อดีมากๆ สำหรับชีวิตผมตอนนี้”
มอร์เล่าถึงข้อดีของการเป็นคนกระจอกไว้ว่า หนึ่ง เราไม่ต้องเสียเวลารักษาตัวตน ไม่ต้องแคร์เพื่อนๆ ว่าสิ่งที่ทำเท่หรือเปล่าเพราะทำยังไงก็ไม่เท่ คนกระจอกจึงสามารถทำอะไรก็ได้ สอง ข้อนี้เกิดขึ้นตอนที่เขารู้สึกล้มเหลวกับงานหนังสั้นก่อนจบมหาวิทยาลัย เขาจึงเริ่มนำงานที่ชอบมาวิเคราะห์ช็อตต่อช็อต รวมถึงเพลงก็ดูไปถึงโครงสร้างของเพลงนั้น หาให้เจอว่าอะไรที่ก่อให้เกิดความไพเราะ สาม การเป็นคนกระจอกทำให้ไม่มีอีโก้จึงมีอาจารย์ง่ายและเมื่อมีอาจารย์มากมายก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น สี่ การที่คนกระจอกไม่มีตัวตน มันทำให้ได้อยู่เงียบๆ แล้วนั่งสังเกตสิ่งรอบข้าง เพราะธรรมชาติของมนุษย์คือวัตถุดิบที่ดีมากของงานสร้างสรรค์ และห้า ความล้มเหลวเป็นเพื่อนเรา นั่นคือคนกระจอกล้มเหลวบ่อยอยู่แล้ว จนเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา และไม่รู้สึกเจ็บเมื่อล้ม
“อยากเป็นกำลังใจให้วัยรุ่นว่า อย่าไปรังเกียจความกระจอกของตัวเอง ถ้าทำให้มันเป็นเพื่อนสนิทของเราได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะ” คนกระจอกบนเวที กล่าว
คนบ้างานก็เที่ยวเป็น
ทุกคืนมอร์จะติดโพสต์อิตหนึ่งแผ่นที่โน้ตบุ๊กเพื่อแจกแจงว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง ผิดกับการไปเที่ยวที่บางครั้งถ้าอยากไปเขาจะลุยเลย
“ปีนี้เป็นปีที่ไปเที่ยวต่างประเทศเยอะที่สุดเท่าที่เกิดมา” เขากล่าว “ผมบ้างานก็จริง แต่ผมก็ยังชอบเที่ยวนะมันสนุกดี อย่างปีนี้ได้ไปเที่ยวอินเดียที่กัลกัตตาดาจีริ่ง สิขิม เมื่อตอนต้นปี จากนั้นไปไต้หวัน ไปญี่ปุ่น 2 ครั้งครั้งหนึ่งไปตามรอยมุราคามิ ดูติ่งมาก (หัวเราะ) ไปดูคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์ และล่าสุดไปเสียมราฐ 4 วัน 3 คืน ซึ่งวันที่พีกที่สุดคือ วันสุดท้ายที่ได้ไปบันทายศรี ที่นั่นมีงานแกะสลักหินที่อ่อนช้อยสวยงามมาก อีกที่คือกบาลสะเปียน ต้องเดินขึ้นเขาไป 2 กม.เพื่อไปดูงานแกะสลักหินที่อยู่ในน้ำตก แต่ที่พีกที่สุดคือบึงมาลา มันอยู่ไกลจากตัวเมือง 70 กม. แต่คุ้มมาก ที่นี่ถูกทิ้งไว้ 800 ปี ไม่มีใครมายุ่ง และเพิ่งเปิดให้เที่ยวเมื่อ 10 ปีนี่เอง เพราะเพิ่งกู้ระเบิดหมด โชคดีมากที่ตอนนั้นเดินไปผิดทาง ทำให้ไปเจอไกด์เลยได้ปีนหินเลาะไปตามห้องต่างๆที่พังไปหมดแล้ว”
การเที่ยวทำให้เขาได้ชาร์จพลัง และเขาบอกกับตัวเองแล้วว่าจะทำงานให้น้อยลงและบาลานซ์ชีวิตตัวเองให้มากขึ้น
โลกของมอร์
ถ้ามีโลกของตัวเอง หนึ่ง เขาอยากให้โลกใบนั้น คนคิดถึงเพื่อนมนุษย์มากกว่านี้ “ตอนนี้คนไม่คิดถึงใครเลยนอกจากตัวเองนอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า น่ากลัวจัง เลยอยากให้คนคิดถึงจิตใจคนอื่นมากกว่านี้เยอะๆ” ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เขาตระหนักนานมากว่าตอนนี้โลกของเราเป็นอย่างไร
ติดตามผลงานเพลงวงเท็กทูทเวลฟ์ ได้ที่ Facebook: Ten to Twelve และ Youtube: Whattheduck


