posttoday

คาซาบลังกา...เสน่ห์แห่งแสงและสี

17 กรกฎาคม 2553

...ร้อยตะวันพันดาว

...ร้อยตะวันพันดาว

ไม่รู้ว่าเพราะที่นั่งบนเจ้านกเหล็กลำนี้สบายเกินเหตุ อาหารเครื่องบินรสชาติดีเกินไป หรือจอทีวีตรงหน้ามันใหญ่ผิดหูผิดตากันแน่ ทำให้เวลาเกือบหกชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ถึงอาบูดาบีถูกละลายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนเครื่องบินลอยกลางฟ้าได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากกัปตันว่า ได้เวลาร่อนลงแตะรันเวย์กันอีกรอบ

คาซาบลังกา...เสน่ห์แห่งแสงและสี



สองชั่วโมงถัดมา เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนสาวเท้าขึ้นไปนั่งประจำที่ แม้เครื่องลำนี้เล็กกว่าลำเดิมมาก แต่เวลานี้คือเวลานอน ฉะนั้นเหมือนร่างกายรู้หน้าที่โดยอัตโนมัติ พอขึ้นเครื่องปุ๊บ ปิดสวิตช์ปั๊บ ไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น


อีกเจ็ดชั่วโมงต่อมา รู้สึกตัวอีกที นี่เรายืนอยู่ที่สนามบินโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งเมืองคาซาบลังกา (Casablanca) ประเทศโมร็อกโกแล้วเหรอ? อารมณ์มึนๆ เหมือนคนโดนสะกดจิตเดินผ่านประตูพ้นจากสนามบินออกมา แสงแดดร้อนแรงก็จริง แต่สายลมที่หอบความเย็นพัดกรูไปทั่วหน้าปลุกให้ตื่นจากการง่วงหงาว

แม้แรกทักทายคาซาบลังกาเป็นไปแบบเบลอๆ แต่เธอก็ดูมีเสน่ห์ในสายตาฉันทีเดียว

บอกตามตรง ฉันไม่ใช่คนโรแมนติก ไม่ได้ปลื้มสีฟ้า และไม่ได้ชอบอะไรที่มันขาวโพลน พอมาเห็นบ้านสีขาวจัดตัดกับผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มของ

คาซาบลังกา หัวใจยังอดร้องว้าวขึ้นมาไม่ได้

คาซาบลังกา...เสน่ห์แห่งแสงและสี

เพื่อนบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า เมืองนี้ไม่ใช่เมืองเก่า เป็นเมืองใหม่ที่ฝรั่งมังค่า สร้างขึ้นมา คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นสาแก่ใจคนเดินทางกันสักเท่าไหร่ แต่สิบปาก (เพื่อน) ว่าคงไม่เท่าตา (ตัวเอง) เห็น ความเป็นเมืองใหม่ของคาซาบลังกานี่เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางต่างอารมณ์ในโมร็อกโก เหมือนกับว่าถ้าอยากสัมผัสวัฒนธรรมแบบอิ่มๆ ต้องไปลิ้มลองกันที่มาราเกซ แต่ถ้าอยากชมและช็อปมาร็อกแบบทันสมัย ที่นี่ล่ะใช่เลย...คาซาบลังกา

คาซาบลังกา มีรากคำมาจากภาษาสเปน คาซา (casa) แปลว่า บ้าน ส่วน บลังกา (blanca) หมายถึง สีขาว สองคำนี้นำมารวมกันก็น่าจะหมายถึงบ้านสีขาว ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า dar beida หลังจากกวาดสายตาไปรอบเมืองละเอียดยิบ ขับรถวนดูโน่นชมนี่ เสน่ห์แห่งสีขาวของตึกรามตัดกับสีครามของผืนฟ้าน่าจะกลายเป็นมนตราที่คาซาบลังกาโปรยใส่หัวใจคนเดินทางให้หยุด ดู ดม ชมกลิ่นอายของเมืองนี้สักคืนสองคืนว่าเธอเองก็มีดีเหมือนกัน

ตัวเมืองตั้งอยู่ทางฟากตะวันตกของโมร็อกโกริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มีดีกรีเป็นถึงเมืองใหญ่สุดของโมร็อกโกอีกด้วย คุณสาวิตรี สุวรรณสถิต ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊กเรื่อง “โมร็อกโก อาณาจักรสุดแดนตะวันตก” เล่าเรื่องเมืองนี้ไว้ในหนังสือของเธอว่า คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าสมัยใหม่ที่มีการออกแบบวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ โดยสถาปนิกนักวางผังเมืองชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรี พรอสต์ เขาได้สร้างเขตที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับครอบครัวเดียวในบริเวณชานเมือง และให้มีเขตดาวน์ทาวน์แบบอเมริกา อันเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจสำคัญๆ เท่านั้น เมืองจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งวิลลาสไตล์โมร็อกโกของคนมีอันจะกินก็ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด

คาซาบลังกา...เสน่ห์แห่งแสงและสี

ในขณะที่คนยากจนของเมืองยังคงอยู่ในเขตเมืองเก่า ซึ่งกลายเป็นย่านอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยว ถ้าไม่ระวังตัวเองให้ดี ความที่มีตรอกซอกเล็กซอกน้อยในเมดิน่า หรือเมืองเก่าเลื้อยพันกันจนวุ่น ทำให้เป็นทางเหมาะๆ ให้พวกวิ่งราววิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวหลังก่อการได้แล้ว การเดินเล่นในซู้ค หรือตลาดเมืองเก่าควรไปกันหลายๆ คน และที่สำคัญต้องมีสติเป็นยันต์กันขโมยติดตัวไว้ตลอดเวลา

นอกจากเสน่ห์ของท้องฟ้าและบ้านสีขาว คาซาบลังกายังได้ทะเลมาเป็นตัวช่วยสร้างสีสันขึ้นมาเป็นกอง ลองตระเวนไปบนถนนสายเลียบมหาสมุทรของเมืองนี้ สีสันของความเป็นเมืองร้อนปรากฏให้เห็นทันตา ร่มสีสดวางเรียงราย เตียงผ้าใบวางกระจายเป็นจุดๆ หอมกลิ่นอาหารปิ้งย่างตามสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนเสิร์ฟพร้อมกับโต๊ะนั่งชมวิวทะเล ซึ่งยามนี้มีคลื่นลูกโตโถมซัดฝั่งแรงกว่าปกติ แต่ความน่ากลัวของเกลียวคลื่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะทุกคนกลับเริงร่ากับไอแดดและลมทะเลได้อย่างไม่รู้เบื่อ

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1