ห้องสมุดปิยมหาราชรฦก ณ ตึกถาวรวัตถุ
วันที่ 27 ก.ย. 2558 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ไปทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย
โดย...ส.สต
วันที่ 27 ก.ย. 2558 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ไปทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย เรื่อง ประวัติศาสตร์ชาติไทย ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พร้อมทั้งเสด็จฯ ไปทรงเปิดห้องสมุดปิยมหาราชรฦก ณ ตึกถาวรวัตถุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 100 ปี วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลสำหรับการศึกษาค้นคว้า วิจัย พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านต่างๆ
ผู้เขียนได้ขอเข้าชมห้องสมุดดังกล่าว วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. 2558 จึงขอเล่าภาพความประทับใจดังนี้
ห้องสมุดปิยมหาราชรฦก
ที่ตั้งห้องสมุดปิยมหาราชรฦก ได้แก่ ตึกถาวรวัตถุ หรือหอพระสมุดวชิราวุธ เดิมเป็นอาคารที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างด้วยพระราชประสงค์ 2 ประการ ประการแรก เพื่อใช้เป็นสถานที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หลังจากที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหาธาตุวิทยาลัยขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์แล้ว แต่ยังขาดที่เรียนอันเหมาะสม
ประการที่สอง ประจวบกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2437 โดยพระราชประเพณีจะต้องสร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ตามพระเกียรติยศขึ้นที่ท้องสนามหลวง พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ไปในการสร้างสิ่งที่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ถาวร เพราะเป็นการสร้างสำหรับใช้งานชั่วคราวเท่านั้นแล้วรื้อทิ้งไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อำนวยการก่อสร้างตึกถาวรวัตถุ ณ บริเวณกุฏิสงฆ์วัดมหาธาตุ เพื่อเป็นที่อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน และหลังจากพระราชทานเพลิงพระบรมศพแล้วจะได้ทรงพระราชอุทิศถวายตึกถาวรวัตถุเป็นสังฆิกเสนาสน์ สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย ต่อไป
แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จในรัชกาลของพระองค์ รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนเสร็จ แล้วพระราชทานให้เป็นที่ตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนคร พระองค์เสด็จฯ ไปทรงเปิดตึกถาวรวัตถุ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2454 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อ พ.ศ. 2520
ปัจจุบันตั้งเป็นหอเฉลิมพระ เกียรติในโอกาสเสด็จประพาสยุโรปครบ 100 ปี และวันพระบรมราชสมภพครบ 150 ปี
เมื่อเข้าไปในอาคารที่ห้องโถงกลาง จะพบกับตู้พระไตรปิฎกฉบับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ขึ้นเป็นเล่มด้วยอักษรไทยแต่เป็นภาษาบาลีเป็นครั้งแรกในโลก ประดิษฐานกลางห้องโถง
ทางซ้ายมือเป็นห้องนิทรรศการ จัดไว้เป็นส่วนๆ ถึง 7 ส่วน โดยมีพระบรมฉายาลักษณ์ และพระสาทิสลักษณ์ พระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงให้ชีวิตใหม่แก่ชาวไทย ไม่ว่าการเลิกทาส หรือการศึกษา ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การขนส่ง สาธารณูปโภค การแพทย์ การอนามัย ตลอดจนถึงการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองจนประเทศสยามกลายเป็นประเทศชั้นแนวหน้าประเทศหนึ่งในโลก
ดังเช่นเรามีกิจการรถไฟ รถรางใช้ ทัดเทียมกับประเทศยุโรป เกินหน้าประเทศต่างๆ ในเอเชียหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม พระราชกรณียกิจทรงมีมากมายสุดพรรณนา กรมศิลปากรจึงจัดนิทรรศการออกเป็น 7 ส่วนด้วยกัน ดังที่โพสต์ทูเดย์เคยเสนอไปแล้ว
ส่วนที่ 1 คือ “ห้องปิยมหาราช” จัดแสดงเนื้อหาและภาพพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญ รวมทั้งได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทในวาระต่างๆ ที่ยังคงเป็นสิ่งเตือนใจคนไทยมารวมไว้ในส่วนนี้ส่วนที่ 2 คือ “ห้องราชเคียงประชา” จัดแสดงพระราชกรณียกิจในการสร้างความเสมอภาคในสังคมไทย โดยเฉพาะการเลิกทาส ทำให้ราษฎรไทยเป็นไทแก่ตัว นอกจากนั้นยังปฏิบัติพระองค์อย่างสามัญชนในการเสด็จประพาสต้น เพื่อสอดส่องดูแลสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด ส่วนที่ 3 คือ “ห้องธำรงเอกราช” เนื้อหาว่าด้วยพระบรมราชวิเทโศบายที่ทำให้ชาติไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งเผชิญอันตรายจากลัทธิล่าอาณานิคม โดยการเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทำให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง สามารถดำรงรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้
ส่วนที่ 4 คือ “ห้องสยามใหม่” จัดแสดงบรรยากาศบ้านเมืองที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้มีการวางรากฐานกิจการด้านสาธารณูปโภคของไทยทุกด้าน อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนพัฒนาบ้านเมืองต่อมาทุกยุคทุกสมัย
ผู้เข้าชมนิทรรศการจะมีส่วนร่วมในบรรยากาศด้วยการเขียนและส่งไปรษณียบัตรที่ระลึกหย่อนลงในตู้ไปรษณีย์ ณ ห้องนี้ส่วนที่ 5 คือ “ห้องมรดกสถาปัตยกรรมแห่งสยาม” จัดแสดงอาคารจำลองสถาปัตยกรรมสำคัญ 3 มิติ ของสถาปัตยกรรมสำคัญ 5 แห่ง ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นลักษณะอาคารที่เกิดจากการผสมผสานศิลปกรรมเทคโนโลยีจากโลกตะวันตก กลายเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมประจำยุคสมัยนั้น ส่วนที่ 6 คือ “ห้องมรดกความทรงจำแห่งโลก” นำเสนอพระเกียรติคุณในส่วนที่ยูเนสโกได้ประกาศให้เอกสารทางประวัติศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2411-2453 เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก เมื่อ พ.ศ. 2552 ในห้องนี้ผู้เข้าชมสามารถเลือกหยิบหนังสือมาอ่าน และอ่านสำเนาเอกสารบางส่วนได้ด้วยระบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ส่วนที่ 7 มีชื่อว่า “ปิยมหาราชรฦก” คือ ส่วนระเบียงอาคารที่จัดแสดงภาพถ่ายส่วนพระองค์จำนวนมาก ล้วนหาดูได้ยาก ภาพเหล่านี้กรมศิลปากรจะหมุนเวียนมาจัดแสดงเป็นระยะ เพื่อใช้เป็นระเบียงภาพที่มีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนห้องนิทรรศการตรงกันข้าม จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์หายากตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ตู้พระไตรปิฎกโบราณ แต่ละอย่าง แต่ละโซน ล้วนแต่บอกเล่าพระราชประวัติของพระองค์ท่าน บางเรื่องคือรากเหง้าของชาวไทย ซึ่งต้องยอมรับว่า หากเราไม่มีพระองค์ท่าน พวกเราชาวสยามหรือชาวไทย คงไม่มีวันนี้


