เบญชุลี ประเทืองสุข งานหนักไม่ท้อ ขอใช้ชีวิตเต็มร้อย
เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของ ฝน-เบญชุลี ประเทืองสุข บวกกับลุคหวานของเธอ หลายคนอาจคิดว่าเธอเป็นบัณฑิตจบใหม่ สไตล์ลูกคุณหนู แต่พอเธอเฉลยว่าปีนี้อายุ 30 แล้ว
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของ ฝน-เบญชุลี ประเทืองสุข บวกกับลุคหวานของเธอ หลายคนอาจคิดว่าเธอเป็นบัณฑิตจบใหม่ สไตล์ลูกคุณหนู แต่พอเธอเฉลยว่าปีนี้อายุ 30 แล้ว แถมตอนนี้เธอยังเป็นกรรมการ
ผู้จัดการของบริษัท เบญชุลี ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าของตกแต่งบ้าน เพื่อจัดจำหน่ายให้กับห้างสรรพสินค้า อย่าง เทสโก้ โลตัส และโฮมโปร ก็ตกใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเธอดูไม่มีความสามารถพอ แต่ในวัย 30 ปี การก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งเธอบอกว่าตั้งเป้าว่าในอนาคตจะขยายกลุ่มลูกค้าเจาะเข้าไปในแม็คโคร และพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นให้ได้ ยิ่งทำให้รู้สึกสนใจและอยากทำความรู้จักผู้หญิงตรงหน้าขึ้นไปอีก
“ด้วยความที่ฝนเป็นลูกคนเดียว ฝนรู้มาตลอดว่าหลังเรียนจบปริญญาตรีก็ต้องกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน ช่วงแรกที่เข้ามาทำร้องไห้ทุกวัน (หัวเราะ) เพราะเราเองก็ยังเด็ก ต้องเรียนรู้ ยิ่งตอนที่เข้ามาเพิ่งอายุ 25 ต้องมาสั่งงานลูกน้องที่อายุมากกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่มีคุณแม่อยู่เบื้องหลังคอยเทรนให้ คุณแม่บอกว่า เป็นหัวหน้าต้องรู้งานทุกอย่าง ช่วงแรกฝนต้องไปรับ-ส่งของเอง เรียนรู้งานทั้งหมด เพราะเมื่อไหร่ที่เราต้องนั่งอยู่ในออฟฟิศ จะได้รู้ว่าลูกน้องที่อยู่ในส่วนต่างๆ กำลังทำอะไรอยู่ เพราะเรามีภาพในหัวหมดแล้ว”
ฝนบอกว่า โชคดีที่ธุรกิจของที่บ้านเป็นสายงานที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เธอรัก เพราะตั้งแต่เด็ก เธอใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากทำงานที่เกี่ยวกับตัวเลข ชอบวิชาคณิตศาสตร์เป็นทุนเดิม บวกกับอยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ พอเรียนจบปริญญาตรีด้านโลจิสติกส์-ซัพพลายเชน ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เลยเลือกเรียนต่อปริญญาโท ด้าน International Supply Chain and Logistic Management ที่มหาวิทยาลัยคิงส์ตัน ประเทศอังกฤษหลังเรียนจบตอนแรก ฝนตั้งใจจะออกไปหาประสบการณ์ทำงานนอกบ้านด้วยการตามความฝันที่ชอบ นั่นคือ การเป็นเมอร์เชนไดเซอร์ ทำงานเกี่ยวกับตัวเลขโดยตรง ดูว่าสินค้าตัวไหนขายดี ควรสั่งเข้ามาเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ในการขาย ซึ่งเธอก็ได้งานที่ฝันจริงๆ แต่ปรากฏว่า ช่วงนั้นที่บ้านขาดคนและต้องการกำลังคนมาช่วยบริหารธุรกิจที่บ้าน ฝนจึงต้องยอมบอกปฏิเสธงานที่ได้ ทั้งที่เริ่มเทรนก่อนจะเริ่มงานจริงแล้ว
“ฝนเห็นด้วยนะคะที่เราควรหาประสบการณ์จากการทำงานนอกบ้านก่อน แต่ในเมื่อเรามีความจำเป็น การเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านเร็วก็มีข้อดีไปอีกอย่าง คือทำให้เราได้เรียนรู้งานเร็ว ได้เติบโตไปพร้อมกับบริษัท อย่างฝนเองอยู่มา 5 ปี บวกกับตอนเด็กได้มีโอกาสตามคุณแม่ไปทำงานตลอดได้ซึมซับมาตลอด ธุรกิจที่ทำเลยเหมือนซึมเข้าสายเลือดเราอย่างรวดเร็ว”
ฝนยอมรับว่า ถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเอง ต้องบอกว่า ภายใต้การบริหารของเธอวันนี้ บริษัทมาได้ไกลพอสมควร และเธอตั้งเป้าว่าจากนี้ไปอีก 5 ปี เธอจะนำพาบริษัทให้เข้าตลาดหุ้นให้ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะดูชีวิตจริงจังซีเรียสกับงาน แต่พอมาเทียบกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเธอ ต้องบอกว่าต่างกันสุดขั้ว
“ฝนเป็นพวกสุดโต่งนะ ทำงานเต็มที่ ใช้ชีวิตเต็มที่ เย็นวันศุกร์หลังเลิกงานจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน มีวันหยุดก็ออกต่างจังหวัดไปเที่ยวกับเพื่อน แต่เวลาทำงานนี่เข้าขั้นเพอร์เฟกชันนิสต์ ลงรายละเอียดแทบทุกอย่าง”
มาถึงวันนี้ ฝนบอกว่า ยังมีอีกหนึ่งความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง นั่นคือ มีห้องเสื้อเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ชอบแต่งตัว รักแฟชั่นเป็นทุนเดิม แม้ด้านวาดเขียนของตัวเองจะเป็นศูนย์ แต่ฝนเชื่อว่า ถ้ามีความรู้ด้านการบริหารจัดการวาดรูปได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ตอนนี้ฝนอาจยังไม่ได้ทำห้องเสื้อตามที่หวัง แต่ความที่เราชอบแฟชั่น ติดตามบล็อกแฟชั่นมาตลอด ตรงนี้ก็เอื้อกับงานที่เราทำอยู่นะ เพราะของแต่งบ้านที่เรานำเข้าและผลิต ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน ผ้าเช็ดตัว พรมเช็ดเท้า ก็ต้องอิงกับเทรนด์แฟชั่น โทนสีที่กำลังมาแรงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สุดท้ายทุกสิ่งที่เราชอบและเราทำก็เชื่อมโยงกันหมด” ฝนกล่าวทิ้งท้าย


